วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

เทคนิคการทำน้ำหมักสมุนไพร 7 รส

การทำน้ำหมักสมุนไพร 7 รส คือ การเลือกเอาสมุนไพรรสต่างๆมาทำน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร ใช้ได้กับนาข้าว และพืชผักทุกชนิด น้ำหมักสมุนไพร 7 รส ประกอบด้วย

1.น้ำหมักสมุนไพรรสจืด

วัตถุดิบ ได้แก่ ใบกล้วย ผักบุ้ง รางจืด และพืชสมุนไพรที่มีรสจืดทุกชนิด

สรรพคุณ จะเป็นปุ๋ยบำรุงดิน ให้ดินมีความร่วนซุย โปร่ง และทำให้ดินไม่แข็ง และใช้บำบัดน้ำเสียได้ด้วย

2.น้ำหมักสมุนไพรรสขม

วัตถุดิบ ได้แก่ ใบสะเดา บอระเพ็ด ใบขี้เหล็ก และพืชสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิด

สรรพคุณ สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพืช

3.น้ำหมักสมุนไพรรสฝาด

วัตถุดิบ ได้แก่ ปลีกล้วย เปลือกมังคุด เปลือกฝรั่ง มะยมหวาน และพืชสมุนไพรที่มีรสฝาดทุกชนิด

สรรพคุณ ฆ่าเชื้อราในโรคพืชทุกชนิด

4.น้ำหมักสมุนไพรรสเบื่อเมา

วัตถุดิบ ได้แก่ หัวกลอย ใบเมล็ดสบู่ดำ ใบน้อยหน่า และพืชสมุนไพรที่มีรสเบื่อเมาทุกชนิด

สรรพคุณ ฆ่าเพลี้ย หนอน และ แมลง ในพืชผักทุกชนิด

5.น้ำหมักสมุนไพรรสเปรี้ยว

วัตถุดิบ ได้แก่ มะกรูด มะนาว กระเจี๊ยบ และพืชสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิด

สรรพคุณ ไล่แมลงโดยเฉพาะ

6.น้ำหมักสมุนไพรรสหอมระเหย

วัตถุดิบ ได้แก่ ตะไคร้หอม ใบกะเพรา ใบเตย และพืชสมุนไพรที่มีรสหอมระเหยทุกชนิด

สรรพคุณ จะเป็นน้ำหมักที่เปลี่ยนกลิ่นของต้นพืช เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงไปกัดกินทำลาย

7.น้ำหมักสมุนไพรรสเผ็ดร้อน

วัตถุดิบ ได้แก่ พริก ขิง ข่า และพืชสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนทุกชนิด

สรรพคุณ ไล่แมลง และ ทำให้แมลงแสบร้อน

ตำนานการก่อสร้างพระธาตุศรีสองรัก

prathat

 

ปรากฏหลักฐานในเรื่องเล่าของคนท้องถิ่นอยู่หลายแง่มุม ส่วนหนึ่งปรากฏในจารึกพระธาตุศรีสองรัก ตามที่ เอกรินทร์ พึ่งประชา (ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) เสนอไว้ในบทความทางวิชาการเรื่อง การลดทอนความศักดิ์สิทธิ์โดยทุนนิยมและรัฐ ว่าหลักฐานส่วนหลังนี้เองที่คนด่านซ้ายผูกเรื่องให้ความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อกวนเข้าไปสัมพันธ์กับตำนานดังกล่าว กล่าวคือ ปี พ.ศ.๒๑๐๓ พระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงศรีอยุธยาคือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้ร่วมกันทำสัตยาธิษฐาน ปักปันเขตแดนกันระหว่างอาณาจักรล้านช้างกับกรุงศรีอยุธยา โดยให้พระมหาอุปราช และเสนาอำมาตย์ ตลอดจนพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองอาณาจักรมาทำการแทนองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างพระธาตุตามคติความเชื่อของชาวพุทธไว้เป็นสักขีพยานแห่งการทำสัญญาพระราชไมตรี และเป็นเครื่องหมายเขตแดนระหว่างสองพระนคร ให้ชื่อว่า ?พระธาตุศรีสองรัก? สร้างแล้วเสร็จปี พ.ศ.๒๑๐๖ จึงจัดงานบูชาพระธาตุศรีสองรักในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี ประการสำคัญ ยังมีเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้าน ว่า ระหว่างการก่อสร้างพระธาตุศรีสองรัก พระไชยเชษฐาธิราชได้แต่งตั้งให้ขุน แสน หมื่น และเจ้านาง รวมทั้งข้าราชบริวาร มาควบคุมดูแลการก่อสร้างเจดีย์ศรีสองรัก และปกครองเมืองนี้ให้อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข กระทั่งขุน แสน หมื่น เจ้านาง และข้ารับใช้ได้สิ้นชีวิตลง เจ้าขุนไกร และเจ้านางน้อยโสดา ซึ่งเป็นเครือญาติกับขุนและหมื่นก็ได้ดูแลเมืองนี้สืบต่อมาเช่นเดิม แต่ปรากฎว่า เช้าวันหนึ่งระหว่างที่ขุนไกรนำขุน แสน หมื่น เจ้านางและบริวารทั้งหลายเตรียมสิ่งของกระทำพิธีกรรมเดือน ๔ ประจำปีเช่นเคยที่ปฏิบัติมา เมื่อเตรียมสิ่งของเป็นที่เรียบร้อย ขุนไกรพร้อมเสนาข้าทาสจึงประกอบพิธีคารวะวิญญาณบรรพบุรุษผู้มีพระคุณ สักพักหนึ่ง ขุนไกรเริ่มมีท่าทางผิดปกติจากคนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า ท่าทาง และภาษาพูด ทำให้ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีถึงกลับตกใจ เสนาจึงรีบยกเครื่องสักการะถวาย ขุนไกรรับขันดอกไม้แล้วถามว่า ?รู้ไหมเราคือใคร มาจากไหน ?? ทุกคนตอบว่า ?ไม่รู้คะน้อย? (ไม่รู้ครับผม)? ต่อจากนั้น ขุนไกรที่เป็นเจ้าของร่างพูดว่า ?เราคือเจ้าเมืองวัง มาอาศัยร่างของขุนไกรเป็นร่างทรงเพื่อสื่อสารกับพวกเจ้า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะมาพบกับทุกๆ คน คือในเดือน ๔?หลังจากนั้น วิญญาณเจ้าในร่างทรงขุนไกรยังแต่งตั้งเจ้านางน้อยเป็นร่างทรงเจ้านายรวมทั้งพ่อแสน นางแต่ง และบริวาร โดยวิธีผูกแขน (ผูกข้อมือ) มาเป็นข้าทาสบริวาร คอยดูแลเมื่อประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามวัน เดือน ปีที่กำหนด อีกทั้งยังอบรมสั่งสอนให้ทุกคนอยู่ในศีลในธรรม และพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีของชาวบ้าน ขณะเดียวกันยังพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองว่า ปีนี้จะเป็นอย่างไร ควรกระทำอะไรก่อนหลัง เมื่อได้เวลา วิญญาณเจ้าเมืองวังจึงออกจากร่างทรงของขุนไกร นับจากนั้นมา จึงมีร่างทรงวิญญาณเจ้านายเป็นสื่อกลางติดต่อระหว่างโลกของวิญญาณกับโลกมนุษย์ อีกทั้งยังถือว่า ขุนไกรเป็นร่างทรงวิญญาณเจ้านายฝ่ายชายท่านแรก ส่วนเจ้านางน้อยเป็นร่างทรงวิญญาณเจ้านายฝ่ายหญิงเป็นท่านแรก

จึงกล่าวได้ว่า ตามทัศนะของคนท้องถิ่น องค์พระธาตุศรีสองรักเป็นทั้งปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่รวมวิญญาณผีบรรพบุรุษชั้นเจ้านายตามความเชื่อท้องถิ่นให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยมี ?เจ้าพ่อกวน? เป็นผู้ดูแล ศาสนสถานและประกอบพิธีกรรมต่างๆ หาใช่ภิกษุสงฆ์เฉกเช่นวัดทั่วๆ ไปไม่ เรื่องเล่าผ่านตำนานดังกล่าวยังสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของนักวิชาการท่านต่างๆ กล่าวคือ มีการเปรียบเทียบตำแหน่งร่างทรงวิญญาณบรรพบุรุษ หรือตัวแทนเจ้านาย และข้ารับใช้ คือเจ้าพ่อกวน เจ้าแม่นางเทียม แสน และนางแต่ง กับระบบการปกครองของอาณาจักรล้านช้าง หรือที่เรียกว่าการปกครอง ?ระบบอาญาสี่? หรือระบบศักดินาซึ่งใช้ที่ดินเป็นเกณฑ์ เช่น ตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเมือง คือ ?เจ้าเมือง? เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดใน

กิจการบ้านเมืองทั้งปวง ส่วนตำแหน่งผู้ช่วย คือท้าวสุริยะ ท้าวสุริยา ท้าวโพธิสาร และท้าวสุทธิสาร ทำหน้าที่ในการพิจารณาคดี พิพากษา และการปกครองแผนกต่างๆ ของเมือง ทั้งนี้ วิญญาณที่เข้าประทับเจ้าพ่อกวนประกอบด้วยเจ้าองค์หลวง คือวิญญาณของอดีตกษัตริย์ แห่งราชอาณาจักรล้านช้าง, เจ้าองค์ไทย คือ วิญญาณอดีตของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา, เจ้าเมืองวัง คือวิญญาณของเจ้าเมืองที่อพยพมาจากอาณาจักรล้านช้าง พร้อมกับพ่อขุนผาเมือง และพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และได้รับมอบหมายจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ให้ปกครองรักษาเมืองอยู่ที่ด่านซ้าย และท้ายสุด เจ้าแสนเมือง คือวิญญาณของอุปราช (อุปฮาด) ที่ได้รับมอบหมายเช่นเดียวกับเจ้าเมืองวังให้ช่วยบริหารบ้านเมืองคู่กับเจ้าเมืองวัง ส่วนวิญญาณที่เข้าประทับทรงเจ้าแม่นางเทียมมีดังนี้ เจ้าเมืองกลาง คือวิญญาณของเจ้านายที่อพยพมาจากอาณาจักรล้านช้าง ที่ได้รับมอบหมายให้ปกครองดูแลเมืองด่านซ้าย และนางเค้า นางจวง นางจัน และนางน้อย คือวิญญาณเจ้านายที่เป็นชายาและนางสนมของเจ้าเมืองที่ติดตามมาจากอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและอาณาจักรล้านช้างร่มขาวเวียงจันทร์

นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่ง ขื่อบ้านขางเมือง? ได้แก่ ?เมืองแสน? มีหน้าที่กำกับฝ่ายทหาร ?เมืองจันทร์? มีหน้าที่กำกับพลเรือน เมืองขวา,เมืองซ้าย,? และ ?เมืองกลาง? มีหน้าที่ดูแลพัสดุต่างๆ เช่น ปฏิสังขรณ์วัดและกำกับการสักเลข ส่วนตำแหน่ง ?เพีย? คือองค์รักษ์เจ้าเมือง เป็นพนักงานติดตามเจ้าเมือง เป็นต้น ขณะที่ตำแหน่งประจำหมู่บ้าน มี ๔ ตำแหน่ง ได้แก่ ?ท้าวฝ่ายตาแสง,? ?นายบ้าน,? และ ?จ่าเมือง? เป็นต้น

ดังนั้น เจ้าพ่อกวนเจ้าและ เจ้าแม่นางเทียม? ก็คือ บุคคลที่วิญญาณบรรพบุรุษหรือเจ้านายแต่งตั้งให้เป็นร่างทรง โดยผู้ที่วิญญาณจะแต่งตั้งต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับของชุมชน และสืบเชื้อสายมาจากเจ้าผู้ปกครองเมืองแต่อดีต ทั้งนี้เพราะการเป็นร่างทรงวิญญาณเจ้านายหรือเจ้าพ่อกวนเจ้าแม่นางเทียมนี้ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการสืบสันติวงศ์ โดยจะถูกเลือกและแต่งตั้งโดยวิญญาณพระเสื้อเมือง มาเข้าทรงบุคคลนั้นๆ ส่วนการแต่งตั้งเจ้าพ่อกวนเจ้าแม่นางเทียมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าพ่อกวนเจ้าแม่นางเทียมคนก่อนถึงแก่กรรม หรือถูกให้ออกจากตำแหน่งเมื่อมีความประพฤติไม่เหมาะสม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่มักเป็นเครือญาติของเจ้าพ่อกวนเจ้าแม่นางเทียมคนก่อนเสมอ

จากเรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อดังกล่าว ทำให้คนด่านซ้ายเกิดความเชื่อ เคารพ และศรัทธาต่อองค์พระธาตุศรีสองรักว่า สามารถดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามประสงค์ อีกทั้งยังเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้าน เพราะเป็นที่สิงสถิตวิญญาณผีบรรพบุรุษผู้เป็นเจ้านาย โดยจะเห็นได้จากการประกอบพิธีกรรมที่มีความสัมพันธ์กับพระธาตุศรีสองรัก เช่น การแก้บะ (บน) และงานไหว้พระธาตุศรีสองรัก โดยมีเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียม พร้อมทั้งพ่อแสนและนางแต่งเป็นผู้นำในการประกอบพิธี และเป็นสื่อกลางในการติดต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลองค์พระธาตุศรีสองรักด้วย

วันฟ้าดับ หรือ โลกแตก

110

หลังมีเรื่องให้คิดถึงว่า ใกล้ถึงสิ้นโลกผ่านมาแล้วหลายเรื่อง จนแทบนับไม่ถ้วน มาคราวนี้ กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันในโลกออนไลน์อีกครั้ง หลังจากมีผู้นำบทความเรื่อง วันฟ้าดับ โพสในเว็บไซต์ดัง ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา และมีการส่งต่อกันจำนวนมาก โดยบันทึกดังกล่าวมีชื่อว่า บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ เรื่องภัยพิบัติ ซึ่งได้บอกถึงภัยพิบัติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นใน วันฟ้าดับ และภาพคนล้มตายมากมาย ซึ่งบทความดังกล่าวได้เขียนไว้ดังนี้

หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายวัน ผมตัดสินใจนำบันทึกทั้งหมดของหลวงลุงออกมานำเสนอก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติมากเกินไปกว่าที่จะคาดเดาได้ของมนุษย์ชาติ ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยที่ผมมีส่วนได้เห็นคำบันทึกอันเนื่องมากจากญานทัศนะของหลวงลุง โดยหากผมไม่ได้นำมาเสนอให้มีการเตรียมการกัน จะเป็นบาปติดอยู่ในใจผม ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบในบันทึกที่หลวงลุงได้เขียนไว้ แม้นว่าตัวผมเองจะได้วางอุเบกขา แต่ว่าถ้าไม่ได้เผยแพร่ออกไปจากผม สิ่งนี้ถือว่าผมขาดเมตตา จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของบุญกรรมของท่าน ในส่วนตัวผมเองถือว่าได้เผยแพร่สิ่งที่ติดค้างในใจของผมแล้ว ผมขอแบ่งบันทึกออกเป็น 4 ตอนนะครับ….ส่งข่าวโดยหลานวิกรม

1. เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันฟ้าดับ

2. เรื่องราวที่จะเกิดตามมาหลังวันฟ้าดับ 3 วัน

3. เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลัง จากวันฟ้าดับ

4. ชาวไทยจะเผชิญกับสิ่งใดบ้าง

1.เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันฟ้าดับ

วิกรมหลานลุง หลังจากลุงได้แจ่มชัดในญาณทัศนะในสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว ทำให้จิตใจของลุงเองเศร้าหมอง จนไม่อาจข่มจิตให้เป็นอุเบกขา ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง การเข้าไปก้าวล่วงในกรรมของผู้อื่นนั้น ผู้ที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเป็นผู้แบกรับกรรมนั้นๆไว้ ลุงจึงขอแจ้งสิ่งต่างๆที่ได้เห็นมาเล่าสู่กัน โดยถือว่าลุงได้ทำหน้ารายงานข่าวเท่านั้น ใครได้พบแล้วจะเชื่อไม่เชื่อนั้นเป็นเรื่องของผู้อ่านจะใช้ดุลวินิจเอง หลังจากเขียนบันทึกนี้แล้วลุงตัดสินใจที่จะออกบวช เรื่องราวที่ได้มีการเตรียมการกันไว้นั้น ฝากให้หลานดูแล ประสานกับคุณลุงประสิทธิ์ และกลุ่มบ้านพุทธบุตร เพื่อช่วยเหลือกันตามกำลังบุญต่อไป

เรื่องราวที่ลุงบันทึกทิ้งไว้ให้หลานนี้ ทั้งหมดเพื่อไม่ให้หลานและคณะเกิดความประมาท ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งในด้านการเตรียมการภายนอกและการเตรียมการภายใน เน้นย้ำเรื่องการฝึกตายก่อนตาย เพื่อให้จิตคุ้นเคยกับอาสัญกรรมในทางสว่าง ให้กับน้องๆ และหลานๆทุกคนด้วย เพราะกุญแจดอกแรกที่จะเปิดเข้าไปในโลกแห่งวิญญานนั้น

กรรมที่แรงสุดคืออาสัญกรรม เพราะถ้าจิตผูกยึดกับสิ่งใดในขณะที่ขาดห้วงลมหายใจสุดท้ายนั้น ถ้าหากมีเพียงแค่เสี้ยวอึดใจ อาจจะถลำลงสู่อบายภูมิถ้าจิตเป็นอกุศล หมั่นทำทานในสิ่งที่ยากๆ เพื่อไม่ให้ตนติดยึดกับคนสัตว์สิ่งของใดๆ อันจะเป็นแรงเหนี่ยวรั้งเรา ไปสู่การเกิดที่ไม่เป็นกุศล หมั่นเจริญมรณานุสสติ เรื่องราวที่ลุงได้บันทึกไว้ให้หลานนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดจากญาณทัศนของลุง เพื่อให้หลานจะได้เตรียมตัว เตรียมใจ วันเวลาอาจจะมีการคลาดเคลื่อนบ้าง ตามเหตุและปัจจัย แต่เรื่องราวที่จะเกิดขึ้น สิ่งเตือนของวันเกิดภัยพิบัตินั้น ไม่เปลี่ยนแปลง

เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นนั้น ลุงขอเรียกว่าวันฟ้าดับก็แล้วกัน เพราะในยามนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกด้านมืดสนิท (ซีกโลกที่ประเทศไทยตั้งอยู่จะมืด 6 วันก่อนโลกจะย้ายขั้ว ส่วนพื้นที่โซนมหาสมุทรแอตแลนติกจะสว่างตลอดเวลา เป็นพื้นที่ดาวหางดวงใหญ่กว่าโลก 4 เท่า Planet X มีมวลมากกว่าโลก 23 เท่า ดูดตรึงกับรอยแยกกลางมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ ที่มีสนามแม่เหล็กเข้ม ทำให้โลกค่อยๆหมุนรอบตนเองช้าลงจนหยุดหมุน 6 วัน…ส่วน 3 วันฟ้าดับที่หลวงลุงเล่าไว้ เป็นตอนแรกในช่วง Severe Wobble แล้วต่อมาพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกอีก 6 วัน) แม้แต่ในยามที่เราหลับตายังมีความสว่างมากกว่าเสียอีก ลุงบันทึกหลังจากอธิษฐานไปยังวันก่อนหน้า ที่จะเกิดภัยพิบัติแก่บ้านเรา 3 วันเจ็ดวัน ก่อนหน้านั้น ลุงเห็นคนที่มีจิตเป็นอกุศลกรรม ได้มีการฉลอง จุดพลุ ร้องเพลงปีใหม่และนับถอยหลังในวันสิ้นปี (ลุงจึงคาดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นหลังงานฉลองสิ้นปีใหม่) (ในประเด็นนี้อาจเป็นกรณีของน้องปลาบู่เตือนไว้ แผ่นดินไหวและเขื่อนพัง หากโลกได้รับผลกระทบจาก PX Retrograde ใกล้ครบ 180 องศา ชี้ขั้วเหนือเฉียดมายังโลก มีบางท่านกล่าวว่าเดือนมีนาคม 55 ก็จะเริ่มต้นมีเหตุการณ์ให้เห็นกันแล้ว อาจหมายถึง Planet X มาให้เห็นด้วยตาเปล่า ก่อนมีนานิดหนึ่ง PX ได้มาปรากฏโฉมอยู่เหนือตำแหน่งดาวศุกร์เล็กน้อย ฟ้าจะมืดไป 3 วันตามช่วงเวลาของ Secklendorf CC โลกส่วนเหนือเส้นศูนย์สูตรจะมืด 3 วันราวปลายเดือนสิงหาคมต่อกับต้นเดือนกันยายน) ลุงเห็นดาวเหนือเปลี่ยนไป ในลักษณะที่อธิบายไม่ถูก แต่มีความแตกต่างและเห็นได้เจนทั้งขนาดและความสว่าง (จุดนี้น่าจะเป็นสัญญานเตือนให้มีการเตรียมการกันนานหลายวัน) ….Venus Looming เริ่มแล้วก่อนเดือนมีนาคม 2555….หลังจากดาวศุกร์หายหน้าไป โลกจะอยู่ต่อหน้า PX

_แม่ริมการ์เด้นซิตี้_แม่ริม_เชียงใหม่_190320121003_642

(ปัจจุบันผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์การปรากฏตัวของดาวศุกร์ก็พบว่าเดินแปลกๆ หรือบางโอกาสหายหน้าไปเลย…ย้ายวงโคจร…. สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต้องเคลื่อนย้ายเตรียมสถานที่หลบภัยล่วงหน้า เช่นผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มเจ้าพระยาที่กำลังทรุดตัว ถูกแนวเขาทั้งด้านตะวันออกและตะวันตกบีบกดตลอดเวลา และจะเกิดน้ำทะเลท่วมภายในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว หลังจากประเทศอินโดนีเซียจมลงไปเต็มพิกัด 80 ฟุตที่ปลายใต้สุดประเทศติดต่อกับประเทศออสเตรเลีย

ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก่อนโลกย้ายขั้ว…คนไทยและชาวเอเชียบนแหลมอินโดจีน จะจมน้ำทะเลนับร้อยล้านชีวิต จึงจะเกิดเป็นข่าวช๊อคโลก ที่คุณ Zeta พยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้า….ผู้ที่พำนักอยู่บนพื้นที่เสี่ยงต่างๆรวมทั้งในภาคใต้ตลอดแนวชายฝั่งทะเล ต้องพิจารณาเอาชีวิตรอดในช่วงเหตุการณ์ 7/10 ก่อนหน้าโลกย้ายขั้วให้ได้ก่อน จึงจะมีโอกาสอยู่เผชิญเหตุการณ์โลกย้ายขั้ว ที่ปรากฏขึ้นในญาณทัศนะของหลวงลุง ลูกศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ที่คุณวิกรม กรุณานำมาเปิดเผยในเว็บพลังจิต)

ในวันฟ้าดับ ก่อนหน้านั้นจะมีฝนตกต่อเนื่องกันหลายวัน แล้วในวันนั้นไร้ฝน ฟ้าหม่นหมองยิ่งนัก ใบไม้เงียบจนไม่พลิกใบ ฝูงสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า จะครวญครางแอบหมอบ ลุงเห็นฟ้าสว่างโร่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน (ทำให้ลุงนึกถึงเรื่องราวที่คนเล่าถึงแสงสว่างจากระเบิดปรมาณู) ในยามที่เกิดแสงสว่างลุงเตือนหลานและทุกคนอย่าพยายามที่จะมองหาต้นทางของแสง เพราะหลังจากนั้นลุงเห็นภาพคนที่ตามืดบอดเนื่องจากแสงจักรวาลที่ฟาดลงมาแทงทำลายตาของเขา (สุริยจักรวาลและโลกเดินมาถึงจุดที่ส่งพลังงานจากขอบกาแลกซี่ทางช้างเผือกทาบต่อกับกาแลกซี่ไตรแองกุลัม ตรงไปยังกาแลกซี่อันโดรเมดาที่ครอบอีกสองกาแลกซี่อยู่ จึงถูกพลังงานโต้กลับมาจากอันโดเมดาอันใหญ่โต สว่างไปทั่วจักรวาลต่างๆสว่างวาบขึ้นพร้อมๆกัน….รอดูคงได้เห็นแม้โซนประเทศไทยระหว่างโลกหยุดหมุนรอบตนเองแล้วจะอยู่ซีกมืดก็ตาม)

แต่หลังจากเกิดแสงนี้แล้วหลานยังมีเวลาเตรียมตัว ในช่วงนี้เองสัตว์ต่างๆจะตื่นกลัววิ่งหนีแบบไม่มีทิศทาง บ้านเราถ้ามีสัตว์ใดขอให้หลานอย่าได้กักขังเขา เพราะจะเป็นอันตราย แม้แต่สัตว์ที่เชื่องที่สุดก็ตาม แต่ก็มีบางตัวที่จะรอดนั้นจะหมอบตัวสั่นใกล้ๆกับมนุษย์

ในยามนี้ขอให้หลานได้เข้าไปยังสถานที่ ที่มีการเตรียมการและปิดให้มิดชิด อาหาร น้ำ ยา และชุดยังชีพให้ทุกคนแยกติดตัวไว้ อย่าเอามารวมกันเพื่อจะแบ่งกัน เพราะอาจจะลำบากมาก ในการติดต่อแม้แต่อยู่ใกล้ๆกัน

ส่วนการย้ายเข้าที่ปลอดภัย และที่มีมีการเตรียมการอพยพขอให้หลานๆได้เตรียมตัวกันเต็มที่หลังจากที่เห็นดาวเหนือเปลี่ยนไป หลังจากที่มีแสงจักรวาลเข้ามาแล้วอีกไม่นานนัก ลุงเห็นภาพคนกำลังทานข้าวกันอยู่ จะเกิดเหตุการณ์โลกเราเหมือนกับชนกับอะไรซักอย่าง คนที่อยู่บนผืนดิน เหมือนคนที่อยู่บนรถขนาดใหญ่ที่มีการชนกัน ภาพคนคนล้มไถล ไปกับพื้น ตึกพังทลายราบลงมาทันที (เป็นลักษณะอาการที่โลกได้ย้ายขั้วแล้ว 90 องศาแล้วหยุด หลังจากมืดผ่านมา 6 วัน ต้องเตรียมนาฬิกาแบบไขลานแล้วบันทึกเวลาเอาไว้ระหว่างที่โลกเริ่มมืด ไม่สว่างอีกนั้น หรือโลกหยุดหมุนรอบตนเอง จะได้ทราบกำหนดเวลาที่โลกกำลังจะย้ายขั้ว เพื่อเตรียมหลบเข้าที่ปลอดภัยที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และหากมีโดมพีระมิดที่พระอาจารย์รัตน์เพิ่งค้นพบได้ไม่นานติดตั้งเอาไว้ด้วย จะช่วยให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นระหว่างที่โลกย้ายขั้ว)

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว จะมีเสียงดังเหมือนวัวยักษ์ครางอือๆๆๆๆๆ (เสียง Earth moaning แมกม่าไหลเสียดสีกับเปลือกโลก) ขอให้หลานและทุกคนในห้องมั่นคงของเรา หรือคนที่อยู่นอกพื้นที่ให้เข้าไปยังที่มีหลังคาแข็งแรงและปิดหูด้วยอุปกรณ์ป้องกันเสียงที่ลุงได้ให้เตรียมไว้แล้ว เพราะพอเสียงวัวยักษ์ร้องเงียบลง ไม่กี่อึดใจ ลุงเห็นภาพผู้คนวิ่งออกจากตึกเพราะกลัวแผ่นดินไหวที่จะตามมา หลังจากนั้นจะมีเสียงดังที่สุด ซึ่งลุงก็บอกไม่ได้ว่ามันดังแค่ไหน แต่หลังจากนั้นลุงเห็นผู้คนเลือดออกจากรูหูนอนกลิ้งเกลือกไปตามพื้น ตาเถลือกถลน คนที่เอามืออุดหูทันนั้น ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ เพราะลุงเห็นคนที่พยายามสื่อสารกัน แต่เหมือนกับว่าคนในโลกนี้แก้วหูขาดไปหมดสิ้นแล้ว เสียงตะโกนโหวกเหวก แต่ต่างคนต่างไม่รู้เรื่อง ลุงจึงขอย้ำเตือนหลานตรงนี้เรื่องการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันหู ให้ดีที่สุด อาจจะทำให้หนักเป็นเบาได้ (ในเรื่องนี้คุณ Zeta ได้เตือนเรื่องเสียงดังจนหูอื้อ ให้เตรียมปลั๊กยางอุดหูไว้ใช้ส่วนตัวกันหูอื้อ ได้ซื้อเอาไว้เพียง 2 ชุด จะต้องไปหาซื้อจากร้านขายยาเพิ่มเติม แต่คุณ Zetaไม่ได้เล่าอาการที่รุนแรงเช่นในนิมิตของหลวงลุง…..ได้ลองใช้ปลั๊กอุดหูของ 3Mได้ลองใช้ลดเสียงลงได้ 50-60 % จะลองชนิดครอบหูแบบใช้ยิงปืนดู น่าจะลดเสียงได้มากกว่าลูกยาง)

หลังจากนั้นลุงเห็นภาพที่ทุกคนกลับมาตื่นกลัวอีกครั้งจากแผ่นดินไหวรุนแรง และสั่นต่อเนื่องกัน ผิดจากครั้งแรกที่เหมือนจะชนโครมเดียวแล้วหยุด แต่คราวนี้เป็นเหมือนมีคนจับเราอยู่ในกระด้งแล้วเคาะขอบมันอย่างแรงอย่างต่อเนื่อง เสียงหวีดร้องตื่นกลัวดังไประงม แต่ในยามนั้นนิมิตลุงอาจจะมีเพียงลุงในจุดนั้นที่ได้ยินเสียง เพราะภาพคนที่วิ่งไปมามีเลือดไหลออกจากหู ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาที่ลูกหลานที่พ่อแม่หอบออกมาจากอาคารบ้านเรือนที่กลัวแผ่นดินไหว มาเจอเสียงดังก็วิงกลับไปในที่คิดว่าปลอดภัย และพอแผ่นดินไหว ก็พากันวิ่งกระเซอะกระเซิงออกมาอีก (คุณ Zeta พยากรณ์ล่วงหน้าว่า แผ่นดินไหวช่วงโลกย้ายขั้วอยู่ในระดับ 10-15 ริกเตอร์ ที่หลบภัยจึงต้องบุผนังกันกระแทกเอาไว้ด้วย มีผู้คิดถึงอยู่บนเปลญวนก็น่าจะดี สวิงไปมาระหว่างที่ถูกลากไปซ้ายขวาและขึ้นลง แต่อย่าขึงสูงนักหากเปลขาดจะได้ตกไม่เจ็บนัก)

หลานวิกรม... ลุงเห็นภาพที่สร้างความน่าเวทนาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลาย ว่าชีวิตมนุษย์มีเพียงแค่นี้เอง ยังไม่จบสิ้นแค่นี้นะ ภาพผู้คนที่วิ่งหลบแผ่นดินไหวออกมา นั่งกอดกันร้องไห้เป็นกลุ่มๆ มีควันไฟ ที่เกิดจากไฟไหม้ลอยคละคลุ้งไปหมด หลายคนที่เสียสติเริ่มต้นร้องไห้ ภาพพ่อแม่พยายามค้นหาลูกหลานที่ติดอยู่ในซากปรักหักพัง ต่างคนต่างฟูมฟายร้องไห้ ไม่มีใครสามารถช่วยใครได้

ในตอนค่ำลุงเห็นคนมารวมกันมีการก่อกองไฟ อากาศหนาว แต่ลมสงบนิ่ง ตอนนี้ลุงเห็นขอบฟ้าแดงจ้าจนน่ากลัว แล้วสิ่งที่ลุงเรียกว่าวันฟ้าดับก็เกิดขึ้น ลุงเห็นมีแสงสีแดงพุ่งมาจากพระอาทิตย์ วาบหนึ่งจากนั้นแสงทั้งหมดก็จะม้วนเข้าไปในรูปทรงกลม ลุงไม่รู้จะเรียกอะไร น่าจะเป็นพระจันทร์ดำ เพราะเป็นสีดำๆเหมือนจันทรุปราคาที่มาบดบังพระอาทิตย์แต่เล็กกว่ามาก (น่าจะเป็นส่วนหางของดาวหาง PX ยิงตรงออกมาจากขั้วเหนือแม่เหล็ก โดย PX อยู่ทางขวาของดวงอาทิตย์และลอยอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ขยะส่วนหาง PX ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นสนิมเหล็กพิษสีแดง มีเศษขยะหินขนาดตั้งแต่เม็ดทรายจนถึงเท่ารถบรรทุก 10 ล้อจะแถมลงมาด้วย ส่วนอากาศเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นนั้น พื้นที่ประเทศไทยได้ย้ายไปอยู่ใกล้กับขั้วโลกใต้ใหม่แล้ว ระหว่างที่โลกหยุดกึ๊ก อากาศจะหนาวเย็นคล้ายๆเมืองคุณหมิงในปัจจุบัน)

แต่ตอนนั้นพระจันทร์ก็ยังเห็นอยู่ แล้วบรรยากาศที่เหมือนเราดับเทียนในห้องมืดที่สุดก็เกิดขึ้น พรึบเดียวแสงทั้งหมดจะหายไป แม้แต่ดวงดาวและพระจันทร์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ความมืดในขณะนั้นลุงเห็นคนพยายามยกมือของตนเองขึ้นมาดูก็ยังไม่สามารถเห็นได้ (โลกยังหยุดหมุนรอบตนเอง ประเทศไทยยังอยู่ในซีกด้านมืดอยู่ ยังไม่เริ่มหมุนรอบตนเองใหม่อีกครั้ง) ความตื่นกลัวก็เกิดโกลาหลอีกครั้ง คนจะกอดคนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วร้องไห้ระงม คนที่อยู่ห่างจากคนอื่นแม้แต่วาใกล้นิดเดียวก็ไม่สามารถหากันเจอ จนกว่าจะคลำหากันเจอ ช่างเป็นภาพที่น่าอเนจอนาถมาก คนส่วนใหญ่ ที่หูจะแตกดับ หรือคนที่อุดหูทันก็จะมีอาการหูอื้ออึงอยู่ (เสียงดังจากฟ้าผ่าฟ้าร้องจะดังมากผิดปกติ ในท้องฟ้ามีประจุไฟฟ้าอยู่มากรับมาจากดาวหาง PX ที่คุณ Zeta เตือนให้เตรียมลูกยางอุดหูไว้ ใช้ป้องกันหูอื้อ) แต่ก็พอยังมองเห็นกัน แต่ในยามมืดสนิทแล้ว เสียงคนพยายามตะโกนหากัน เสียงหวีดร้อง โหยหวนด้วยความกลัว แต่คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ยิน ได้แต่สะเปะสะปะไขว่คว้าหากัน อย่างนี้เองลุงถึงได้ย้ำกับหลานว่าให้แยกเป้ที่จัดเตรียมไว้เฉพาะคน และเมื่อเข้าไปอยู่ในที่ห้องปลอดภัยที่ได้เตรียมสร้างไว้ ขอให้หลานสร้างตามแปลนที่ลุงได้เขียนไว้ให้ ตู้คอนเทนเนอร์ที่เตรียมทั้งตู้อาหาร ตู้ปลอดภัย และโรงพยาบาลเคลื่อนที่ด้วย (หากใช้ตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็น เป็นที่หลบภัย จะต้องสร้างฐานยึดตัวตู้ให้มั่นคง ป้องกันตู้พลิก ระหว่างที่เกิดแผ่นดินไหวในขนาด 9-15 ริกเตอร์ และต้องทำร่องระบายน้ำดาษด้วยคอนกรีตรอบตู้เอาไว้ด้วย เนื่องด้วยจะมีฝนตกหนักมากกว่าปกติหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับแปลงสวนครัว ที่ต้องมีหลังคาป้องกันฝน)

ตอนนี้ดึกมากแล้ว ลุงง่วงแล้ว แต่ยังอยากบันทึกให้หลานไว้ให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางไปหาพระอาจารย์

ภาพที่ปรากฏขึ้นนั้น ลุงรู้สึกเศร้าใจกับญาณทัศนะที่ลุงได้เคลื่อนไปในยามที่เด่นชัดกับเจอภาพภัยพิบัติที่หนักหนาสาหัตกว่าที่ลุงเตรียมการไว้ จนเกิดเวทนาในสัตว์โลก และเห็นการคร่ำครวญของคนที่ไม่เคยศึกษาทางธรรม และไม่ได้เตรียมตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และเตรียมฝึกมรณาสติไว้เลย ในส่วนที่ลุงบันทึกนี้คนที่มีกรรม และไม่เคยฝึกสมถะกรรมฐานผ่านในขั้นรูปญาณและอรูปญาณ 4 นั้น หลานอย่าไปอธิบายเขาเลย เพราะจิตเขาหยาบกว่าที่จะเข้าใจ

ในวันฟ้าดับยังมีเรื่องอเนจอนาถซ้ำเติมมนุษย์ ที่ไม่ได้เตรียมการอีก หลังจากที่มืดมิดแล้วลุงยังเห็นภาพคนคลานหนีหรือกอดกันร้องไห้ เพราะยังมีอาการแผ่นดินไหวเป็นระยะๆ มากบ้างน้อยบ้าง ภาพเพดานสิ่งของเท่าที่คนไปแอบซุกอยู่หล่นลงมา มีคนตายคนเจ็บร้องครวญคราง (เมื่อโลกย้ายขั้วได้หยุดลงแล้ว เปลือกโลกส่วนที่ถูกย้ายมาไว้ที่ตำแหน่งใหม่เช่นขั้วเหนือใหม่ จะถูกแผ่นอื่นที่ตามมาชน เกิดอาฟเตอร์ช๊อคอีกหลายสัปดาห์ หรือหลายๆเดือนหลายสิบปี กว่าเปลือกโลกจะจัดเรียงตัวได้เรียบร้อย เช่นพื้นที่ทวีปอเมริกาเหนือ ถูกส่วนอเมริกาใต้พุ่งเข้ากระแทก ทำให้อเมริกากลางหรือแถบแคริเบียนถูกกดให้มุดเข้าไปใต้แผ่นอเมริกาเหนือ ประเทศอินเดียทั้งประเทศที่ตั้งอยู่บนแผ่น อินโด-ออสเตรเลีย ถูกแผ่นฮิมมาลาย่ากดให้มุดเข้าข้างใต้ จมลงทั้งประเทศ ร่วมกับปลายแผ่น อินโด-ออสเตรเลีย รวมพื้นที่จมประมาณ 16 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นเหตุให้น้ำจากมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย เคลื่อนตัวเข้ามาเติมที่ว่าง กวาดเอาสิ่งกีดขวางทุกอย่าง บนพื้นที่แหลมอินโดจีนทั้งหมด และฟิลิบปินส์ บรูไนล์ ชาวเกาะมาเรียน่า ถูกคลื่นยักษ์พัดพาไปยังที่ว่างเหนือประเทศอินเดีย ที่จมลึกหลายร้อยเมตร คลื่นยักษ์เดินทางผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เหลือทิ้งไว้แต่พื้นดินเปล่าๆ อินเดียทั้งประเทศจมลงระหว่างที่โลกย้ายขั้ว ภายหลังจากชะตากรรมของชาวที่ราบลุ่มเจ้าพระยาที่ถูกน้ำทะเลไหลเข้าท่วมมาก่อนหน้านี้ ภายหลังจากประเทศอินโดนีเซียจมลงเต็มพิกัด 80 ฟุต ที่ปลายใต้สุดประเทศติดกับประเทศออสเตรเลีย)

แต่วิกรม…ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ คนที่รอดตายขณะนั้นจะตายมากขึ้นอีก ลุงเห็นภาพน้ำแข็งก้อนเท่าทีวี เท่าบาตร หรือบางก้อนขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก ทะยอยตกลงมาจากฟ้า ส่วนก้อนขนาดเท่ากำปั้น ตกกระจายไปทั่ว คนที่หลบหนีหลังคาที่หักโครมครามออกมาท่ามกลางความมืดนั้น มาอยู่ในที่โล่ง ต้องมาตายกับฝนลูกเห็บยักษ์ที่มีความเย็นจัดมาก เพราะลุงเห็นภาพคนแข็งตายอยู่กราดเกลื่อนเต็มไปหมด (ปรากฏการณ์ตรงนี้ จะเป็นข้อมูลการบ้านสำหรับการออกแบบเสาและหลังคาอาคารที่หลบภัยได้อย่างดี รวมทั้งกระแสลมแรงผิดปกติอีกด้วย)

แต่ภาพที่เกิดหลังจากนี้ที่หลานคงคิดว่ามนุษย์ชาติจะอยู่อย่างไร เมื่อลุงอธิษฐานไปยังหลังจากนี้แล้ว กลับยิ่งอเนจอนาตยิ่งกว่า ลุงจะได้พยายามทบทวนเรียบเรียงสิ่งที่ลุงเห็นมา บันทึกไว้ให้หลานๆได้นำไปเตรียมตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด ในสิ่งที่ลุงเห็นมานั้น ไม่เคยแจ่มชัดเท่านี้มาก่อน แต่สิ่งที่ลุงได้อธิษฐานว่าถ้าลุงมีบารมี และมีบุญที่เกี่ยวเนื่องกับพระอาจารย์โสณะ ขอโปรดเมตตาให้ญาณทัศนะของลุงชัดเจนแจ่มใส จนได้เห็นภาพเหล่านี้ขึ้นมา ขอพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะสงฆ์ทุกพระองค์ได้โปรดเมตตาสรรพสัตว์ และหลานๆด้วย

2. เรื่องราวที่จะเกิดตามมาหลังวันฟ้าดับ 3 วัน

วิกรม…ที่ลุงฝากบันทึกนี้ให้หลานเพราะ ลุงคาดว่าต้องใช้เวลาสองสามวัน ที่จะบันทึกให้เสร็จหมด เพราะพิมพ์ได้ช้ามาก และที่มอบให้หลาน เพราะหลานเป็นญาติเพียงคนเดียวที่สามารถแยกกายจิต รวมทั้งฝึกสมถะกรรมฐานได้ในระดับที่จะสามารถสื่อสารทางจิตกับลุงได้ แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถจะไปหน้าหรือย้อนกลับในเรื่องราวของตนเองได้ดี แต่ขอให้หลานตั้งใจฝึกฝน รายชื่อพระอาจารย์ที่หลานควรจะเดินทางไปฝึกฝนต่อไป

บันทึกในส่วนนี้ลุง ขอเล่าในเรื่องหลังจากผ่านคืนฟ้าดับมาแล้ว เพื่อให้หลานๆได้เตรียมตัว บันทึกเมื่อคืนก่อนแม้ลุงจะไม่ได้บันทึกละเอียดได้เท่าที่ลุงเห็นมา แต่ภาพรวมก็คงไม่ขาดไปมาก ที่ลุงต้องรีบบันทึกเพราะวันที่ 17 นี้ ลุงจะเดินทางตามพระอาจารย์ไปยังหลวงน้ำทา ประเทศลาวตอนบน วิกรม…ในส่วนของพื้นที่ๆได้มีการจัดเตรียมไว้นั้น ที่ลุงประสิทธิ์เสนอย้ายให้ไกล้ลงมานั้นและรับคนในหมู่บ้านให้มากเพิ่มขึ้นนั้น ลุงขอเล่าเรื่องที่ลุงเห็นมา จะตัดสินใจอย่างไรแล้วแต่หลานๆจะร่วมกันพิจารณา บันทึกในส่วนก่อนลุงเล่าถึงเรื่องมีก้อนน้ำแข็งที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ทำให้อากาศหนาวเย็นและลมแรงมาก ในส่วนของตู้คอนเทนเนอร์ที่นำมาสร้างห้องมั่นคงนั้น ขอให้ใช้ตู้เหล็กขนาดใหญ่ที่ลุงสั่งมา และให้เร่งเสริมเหล็กกันกระแทกด้านบนและด้านข้าง ให้เลือกที่เป็นตู้ที่ใช้สำหรับห้องเย็น เพราะจะช่วยเรื่องอากาศหนาวเย็น หลังจากมีก้อนน้ำแข็งตกลงมาจากฟ้าได้ดี

ในส่วนของตู้สำหรับบรรจุอาหารนั้น ถ้าสามารถรวบรวมเงินได้ ก็ให้เปลี่ยนเป็นตู้แบบตู้ห้องเย็นให้หมด ก็จะปลอดภัยมากขึ้น

เหตุผลที่ไม่ควรย้ายลงมาเพราะว่า ภาพที่ลุงเห็นถัดไปก็คือ หลังจากที่มีการหยุดของโลกกึ๊กหนึ่งนั้น ภาพน้ำข้ามภูเขามาจำนวนมากมาย ลุงเห็นภาพกรุงเทพจมหายไปกับสายน้ำ ภาพเขื่อนภูมิพล และหลายๆเขื่อนลุงไม่แน่ใจว่าอะไรบ้าง บิดร้าว ตัวเขื่อนแม้ไม่แตกสลายแต่ ขอบๆเขื่อนที่เป็นภูเขาเป็นดิน มีรอยร้าว และมีน้ำกัดเซาะเข้าไป จนน้ำทะลุภูเขาไปอีกด้านจนสุดท้ายภูเขาก็แบ่งออกเป็นสองซีก ลุงเห็นภาพน้ำกวาดบ้านไปเหมือนของเล่น

ที่เชียงใหม่บ้านเราได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวมากไม่น้อยกว่าทีอื่นๆ แต่เรื่องน้ำนั้น เขื่อนแม่งัดแม่กวงแตกพังทะลาย น้ำที่แตกมาจากเขื่อนจะกวาดบ้านเรือน ที่อยู่ในส่วนตอนล่าง ลุงเห็นภาพเจดีย์ขาวที่อยู่หน้าเทศบาล ที่ติดแม่น้ำปิงเห็นแต่ตัวยอดนิดเดียว ฝากหลานไปบอกให้เจ้านิดหน่อยกับลูกๆและแฟนเขา ย้ายบ้านมารวมกับหลาน แบ่งพื้นที่หลังบ้านในส่วนของลุงยกให้นิดเลยก็ได้ หรือถ้าไม่อยากสร้างใหม่ก็มาอยู่ที่บ้านหลังเล็กของลุงเลย เพราะแถวแม่ริมนี้จะได้รับผลกระทบจากการพังของเขื่อนน้อย ก็เป็นเพียงแต่น้ำเอ่อล้นแผ่ออกมา แต่คาดว่าแผ่มาแต่ไม่ท่วมถึงหน้าวัดบ้านเราหรือว่าขึ้นมาก็คงไม่สูงมากเพราะปริมาณน้ำในเขื่อนแม่งัดน้อยกว่าเขื่อนแม่กวง

ภาพที่ลุงเห็นในเมืองเชียงใหม่ ตึกรามบ้านช่องที่พังทะลายจากก่อนหน้านั้น ผู้คนออกมาในคืนฟ้าดับนั้น กลับโดนกวาดไปกับสายน้ำ ที่บ้านเราจะรุนแรงและต่อเนื่องกันเพราะเขื่อน บ้านเราอยู่ใกล้เขื่อนน้ำเดินทางเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้นเอง คนแถวสันทราย ดอยสะเก็ด ช่อแล คงเลี่ยงหนีไม่พ้น มวลน้ำทั้งหมดจะกวาดไปผ่านลำพูน ไปทั้งหมด แต่ด้วยระยะทางของน้ำก็จะเสียหายน้อยกว่าแถวสันทราย เมืองสันกำแพง แถวอำเภอบ้านธิ ลำพูน ลุงจะเตือนป้าแดงของหลาน และญาติของเราแล้วแต่เขาเคยฝึกจิต และเชื่อเรื่องการเปลี่ยนของโลกได้อย่างไร คงแล้วแต่บุญกรรมของเขา

แต่การสูญเสียแถบบ้านเราก็น้อยกว่า พื้นที่เขื่อนใหญ่ๆ ที่มีมวลน้ำจำนวนมาก อย่างเทียบกันไม่ได้ ลุงเห็นภาพเจดีย์วัดอรุณฯ เห็นเพียงยอดฉัตรเท่านั้น หมายถึงกรุงเทพ คงไม่มีที่แห้งให้ยืน ลุงย้ำตอนนี้ ขอให้เลือกพื้นที่ อย่างไรก็ให้อยู่ตอนเหนือของเขื่อนหรือหลานจะแนะนำใคร ที่จะย้ายออกมา เพราะเชียงใหม่เองก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยทั้งหมด ในยามที่โลกมืดมิดมองไม่เห็นอะไรนั้น พ้นจากแผ่นดินไหวแล้ว สายน้ำก็กวาดลงมาอีก จะมีใครซักกี่คนหนอที่จะรอดผ่านไปได้ ถ้าไม่มีการเตรียมการก่อนล่วงหน้า รวมทั้งการเลือกพื้นที่ๆปลอดภัยก่อน เพราะในยามนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว อดคิดถึงเชียงราย พะเยา ไม่ได้ ถ้าน้ำจากเขื่อนที่ประเทศจีนสร้างหลายเขื่อนปิดกั้นสาขาต่างๆของแม่โขงไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ หากแตกลงมา ที่ว่าเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็หมายถึงมีการกักน้ำได้มากที่สุด จะทะลักมาตอนนั้นอีกมากเท่าไหร่ หลานอย่าแปลกใจเลยที่จุดปลอดภัยของเชียงรายอยู่ที่ดอยตุง

(นอกจากน้ำหลากมาจากเขื่อนต่างๆทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ เช่นจีน และจากลาวแล้ว ทำเลประเทศไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรอินโดจีน ตลอดจนสุดประเทศอินโดนีเซีย ล้วนตั้งขวางทางเดินของน้ำจากมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เดินทางเป็นแนวคลื่นสูงใหญ่ 600-700 ฟุตหรือสูงกว่า 200 เมตรดังในพระพุทธทำนายนั้น จะ Tidal Bore ไต่ข้ามสันเขาของประเทศเวียตนาม ผ่านเข้าพื้นที่ประเทศลาว แล้วเดินทางผ่านที่ราบอิสานมุ่งตรงไปทางตะวันตกสู่พื้นที่ประเทศอินเดีย ที่จมลงไปในเพียงพริบตาพร้อมกับพื้นที่ปลายแผ่น อินโด-ออสเตรเลีย ประมาณ 16 ล้านตารางกิโลเมตร วิบัติกาลจากน้ำทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก เดินทางผ่านประเทศต่างๆที่กล่เพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำก็ลดลงทะเลไปหมดเหลือเอาไว้เพียงผืนแผ่นดินว่างเปล่า เป็นการจมน้ำตายหมู่รอบสอง หลังจากอินโดนีเซียได้จมไปรอบแรกก่อนโลกจะย้ายขั้ว)

มีเรื่องที่หลานต้องเตรียมไว้ด้วยนะว่า ในช่วงของการที่มีความมืดมิดของโลกนั้นใช่ว่าจะเป็นความมืดแบบไม่มีแสงใดๆ คงไม่ใช่ แต่จะมีฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ลงมาเสียงฟ้าผ่าที่ดังกว่าเสียงระเบิด เปรี้ยงๆๆพอๆกับเสียงระเบิดหิน เป็นเวลาก่อนที่ก้อนน้ำแข็งจะร่วงลงมาจากฟ้า เพราะฉะนั้นเวลาที่มืดมิดแล้วเริ่มเห็นแสงขึ้นมาอย่าออกจากห้อง เพราะมันจะเป็นแสงฟ้าแลบ และจะตามมาด้วยก้อนน้ำแข็ง ขอให้หลานๆอย่าได้พยายามที่จะเปิดอุปกรณ์ใดที่เป็นแสงเพราะจะเกิดการผ่าเข้ามาที่บริเวณนั้น แต่ว่าในห้องสามารถที่จะใช้เส้นเรืองแสงที่ลุงให้เตรียมไว้ ในกรณีที่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บของคน แต่ต้องปิดประตูให้มิดชิด ให้อยู่ในห้องมั่นคงนั้นอีก 3 วัน หรือจนกว่าอาหารในเป้ ที่เตรียมไว้สำหรับทุกคนหมด…ที่เตรียมไว้ 4 วัน

จึงออกมาจากห้องมั่นคงได้ ในช่วงที่อยู่ในห้องมั่นคง ขอให้หลาน นำน้องๆและลูก สวดบทสวดมนต์ที่ลุงได้บังคับท่องให้ขึ้นใจ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน เพราะตอนนั้นคนส่วนใหญ่จะหูแตกหรือยังอื้ออึงอยู่ แต่จะช่วยป้องกันอมนุษย์ หรือสิ่งที่หลุดออกมาจากโลกที่ต่างมิติออกไปเข้ามา หลานเคี่ยวเข็ญให้ยายจุ๊กจิ๊ก กับหนูบ๊วย สวดด้วยอย่างน้อยต้องสวดบทชินบัญชรต้องได้ วิกรม อย่าลืมน้ำผึ้งที่ลุงสั่งไว้ที่ฟาร์มผึ้งสุภาพเอามาเก็บไว้ในห้องด้วย เพราะจะช่วยเด็กๆไม่ต้องทานอาหารแห้งๆอย่างไร้รสชาติไปหลายๆวัน

ย้ำเรื่องการออกจากห้องมั่นคง อย่าออกจนกว่าจะเห็นแสงอาทิตย์จากข้างนอก หลังจากนั้น หลานอย่าได้รอที่จะย้ายขึ้นไปรวมกับลุงประสิทธิ์ แต่ต้องรอสังเกตให้ฟ้าสว่างชัด ถ้าขอบฟ้ายังเป็นสีเหลืองอมฟ้า อย่าได้รีบเคลื่อนย้าย ระวังอย่าให้ทุกคนหรือเด็กๆโดนฝนเป็นอันขาด เพราะในก้อนน้ำแข็งที่หล่นมาจากฟ้านั้นมีเชื้อโรค ที่ยาในรายการที่ลุงเตรียมไว้ให้หามาไว้ในห้องยาของเราไม่ครอบคลุม ลุงได้ตรวจสอบกับครูบาอาจารย์แล้ว ตรงกันก็คือวันฟ้าดับนั้นประมาณ 3 วัน (หากดับ 3 วัน เป็นเวลาโลกนอนลงหลังจาก เกิด Severe Wobble อยู่ 9 วัน มีแผ่นดินไหวขนาด 8-10 ริกเตอร์ต่อเนื่องทั่วโลก โดยแผ่นเปลือกโลกแผ่นต่างๆเคลื่อนตัวถึงกันหมด แกนพลังงานโลกแกว่งเป็นรูปเลข 8 วันละ 2 ครั้งพื้นที่ชายทะเลจะมีคลื่นสูง 100-200 ฟุตเกิดขึ้นเป็นเครื่องสังเกต โดยดาวหาง PX ลงมาอยู่ใกล้โลกมาก)

ซึ่งหลานอย่าได้กังวลเกี่ยวกับวันเวลาเพราะ ในสิ่งที่ลุงไปเห็นมา มันมืดจนแยกเวลาไม่ออกอยู่แล้วว่าผ่านไปเทียบกับกี่วันในเวลาโลกปกติ ในส่วนที่อื่นๆหลานอย่ารู้มากกว่านี้เลย เพราะจำทำให้จิตใจเศร้าหมองกับการจากไปของญาติพี่น้องคนที่รู้จักมากมาย ขอให้หลานอย่าได้หยุดตั้งใจฝึกจิตของหลานให้มีร่างจิตสามารถสื่อสารได้ และสามารถแยกจิตออกจากร่างกายจนชำนาญนั้นก็จะช่วยให้หลานเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆได้ วันนี้คงได้แค่นี้สายตาลุงชักจะไม่ใหวแล้ว

ในส่วนของบัญชีเงินฝากของลุง ที่มีในธนาคาร กรุงเทพ กรุงไทย และกสิกรไทย ลุงได้เซ็นใบถอนทิ้งไว้แล้ว หลานเบิกและย้ายมารวมกันในบัญชีธนาคารกรุงไทย ที่ลุงให้หลานใช้ในการซื้อของจัดเตรียมสร้างตู้คอนเทนเนอร์ให้หมด จะได้สะดวกในการทำงาน เพราะถ้าหลังจากนี้ลุงบวชเงินก้อนนี้ก็คงไม่จำเป็นสำหรับลุงแล้ว (ก่อนจะมืดไป 3 วัน คุณ Zeta ให้ตารางการเกิดการย้ายขั้วเอาไว้ดังนี้)

9 day Severe Wobble

4.5 days static Lean to the Left

2.5 days progression toward 3 Days of Darkness.

3 Days of Darkness

6 days of Sunrise West

18 day of Slowing Rotation

6 (5.9) days of Rotation Stoppage

3. เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลัง จากวันฟ้าดับ

วันนี้วันที่ 15 แล้ว ลุงมีเวลาอีกสองวันที่จะบันทึก ก่อนที่จะเดินทางไปตามกำหนดที่ได้นัดหมายกับพระอาจารย์ไว้ ลุงจะพยายามบันทึกสิ่งที่มีประโยชน์กับหลาน และคณะที่เตรียมการกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และความสามารถและสายตาลุงสามารถทนได้กับจอคอมพิวเตอร์นี้ วิกรม…ที่ลุงต้องรีบให้หลานอพยพหลังจากที่ฟ้าสว่างแล้วนั้น เพราะหลังจากนั้นอีกไม่เกิน 10 วันศพคนตายที่มีจำนวนมากได้เริ่มเน่าเหม็น แม้ส่วนใหญ่สายน้ำจะได้พัดพาไปด้วยแล้ว แต่มีอีกเป็นจำนวนมาก ที่เสียชีวิตเนื่องจากหนาวตายจากอุณภูมิที่ก้อนน้ำแข็งได้ตกมาจากฟ้าและไม่ได้เตรียมการเอาไว้ อย่าห่วงของที่เหลือเพราะในหมู่บ้านที่มีการเตรียมการไว้แล้วนั้นมีอาหารเพียงพอสำหรับสมาชิกที่เคลื่อนขึ้นไปทานอย่างประหยัดสามารถอยู่ได้นานกว่าสองปี ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น แกนโลกก็คงสมดุลและคนอื่นๆก็คงสามารถปรับตัวได้

ในระหว่างเดินทางนั้น ให้สวมชุดที่ใช้สำหรับการควบคุมโรคไข้หวัดนก ที่ลุงได้ซื้อเตรียมไว้และเมื่อไประหว่างทางเจอฝนให้ใช้ผ้ายางปันโจ กางอีกครั้งอย่าให้เด็กๆลุยฝน ในช่วงหลังจากนี้วิกรมพาน้องๆ หลานๆไปออกกำลังโดยการเดินทุกวัน เพื่อในยามที่ต้องเดินเท้าจะได้ไม่ลำบาก ลุงทดลองเดินสบายๆโดยไม่หยุดเลย ออกจากบ้านแม่ริมตอนเช้า ไปถึงหมู่บ้านเรายังไม่ค่ำนัก ถ้าจำเป็นก็แบกเจ้าตัวเล็กๆ แล้วใช้ตัวลาก บรรทุกของเป๊ แบบล้อสูง ก็คงไม่ทุลักทุเลนัก แต่แน่นอนทางเสียหายหมด แต่เส้นทางที่เดินไปหลานเดินทางไปบ่อยๆ

ถึงจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็คงไม่คลาดเคลื่อนมากนัก ในระหว่างทางถ้ามีการขออาหารหรือสิ่งของก็ให้ไปอย่าขัดขืน แต่ต้องรีบเดินทางให้ถึงก่อนค่ำ เพราะในยามค่ำคืนนั้น มีอมนุษย์ที่หลงหลุดมาจากต่างมิติ ที่คุ้นเคยกับความมืด จะมารบกวนเด็กๆได้ ลุงเล่าเรื่องที่ลุงเห็นผ่านญาณทัศนะให้หลานเตรียมตัวในช่วงนี้ จะได้ประมาณสถานการณ์ได้ ลุงเห็นผู้คนในเมืองที่เสียสติเที่ยวไปคุ้ยเขี่ยหาอาหาร มีการปล้นฆ่ากัน ซากศพก็มีกองระเกะระกะ มีทหารถือปืนเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งไม่มีสภาพทหารออกมาปล้น โรงพยาบาลที่ลุงเคยทำงาน ตึกใหญ่ล้มพังเกลื่อนลงมา ถนนหนทางที่เราเคยไป ถนนคนเดินกัน แทบไม่เหลือสภาพให้จำได้ ลุงกำหนดจิตไปที่กรุงเทพ เป็นภาพที่อเนจอนาถใจมากกว่า น้ำยังไม่ลดลงมากเท่าไร แต่สิ่งที่ลอยเกลื่อนคือซากศพคนตาย มีฝูงจระเข้ที่ภูเขาทอง

ลุงเห็นภาพคนที่แก่งแย่งกัน ค้นหาปล้นอาหาร ที่เป็นซากห้างใหญ่ ลุงเห็นภาพซากเขื่อน ที่จังหวัดตากแตก กวาดน้ำไปตามเส้นทาง แทบไม่เหลือสภาพว่านี้เคยเป็นเมืองที่เคยมีผู้คนอยู่มากมาย ลุงเห็นภาพผู้คนที่รอดมาแต่คงอดอาหารบางคนยังใส่สูทอยู่เลย แต่รวมตัวกันไปปล้นแย่งอาหารของคนที่รอดตายคนอื่นๆ มีการฆ่ากัน ภาพคนเสียสติเดินไปเดินมาร้องไห้ หัวเราะ ตีอกชกตัวกันเต็มไปหมด(คุณ Zeta พยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่า ในจำนวนผู้ที่รอดชีวิต 10 % จะมีคนเสียจริตปนอยู่ด้วย 4.3 % )

ลุงเห็นภาพพระ 2 รูป องค์หนึ่งหน้าตามีเมตตา ขาวๆอายุประมาณ 4-50 ปี อีกองค์ อ้วนๆคล้ำๆนิดหนึ่ง อายุกะไม่ถูก พร้อมกับลูกศิษย์นับร้อย ๆ คน เดินทางลงจากเขาลูกเตี้ยๆ มีวัดอยู่ข้างบน ลุงไม่แน่ใจว่าที่ไหนนะ ช่วยกันฝังศพ และสวดศพตามมีตามเกิด แต่ที่น่าสนใจคือเขาเป็นชาวบ้านธรรมดาแต่รอดชีวิตมาได้อย่างไร มีการเตรียมการกันอย่างไร โดยที่ไม่แสดงอาการหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย สิ่งที่ลุงพบในร่างจิตนั้น ขนาดชาวบ้านก็ยังรู้ว่าลุงผ่านไป

หลายคนยิ้มให้แสดงว่า มีระดับจิตที่สูงมาก คงเป็นจังหวัดที่ลุงเคยทำงาน ที่มีภูเขาเตี้ยๆละมีวัดบนภูเขา ก็น่าจะแถวนครสวรรค์หรือ ลพบุรี อะไรแถวนั้น เพราะญาณทัศนะของลุงนั้นจะกำหนดจิตไปยังพื้นที่ๆกายเนื้อเคยผ่านมาแล้ว ภาพจะชัดเจนที่สุด ลุงเสนอให้หลานเดินทางไปกราบพระอาจารย์ทั้งสององค์ และหาหมู่บ้านที่มีการฝึกจิตระดับสัมผัสกับญาณทัศนะของคนอื่นที่ผ่านมาได้หวังว่าหลานจะชวนน้องกิ๊บที่ทำงานกรุงเทพให้ลาออกกลับมาทำงานที่เชียงใหม่ได้ ที่เหลือก็คงเป็นภาพคล้ายๆกัน ถึงความสูญเสีย ขอหลานได้เตรียมใจในส่วนของการสูญเสียคนที่หลานรักด้วย ลุงไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใคร แต่หลานต้องเตรียมพร้อมกับการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของสังขารทุกคน ที่เกิดมาร่วมกัน

4. ชาวไทยจะเผชิญกับสิ่งใดบ้าง

บันทึกหน้าสุดท้ายที่จะเขียนถึงหลานก่อนที่พรุ่งนี้ลุงจะออกเดินทางไปเพื่อติดตามพระอาจารย์โสณะ ซึ่งถ้าได้รับอนุญาตจากพระอาจารย์ ลุงคงบวช ตามที่ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าก่อนนี้แล้ว ลุงคงไม่มีภาระในทางโลกมากเหลืออยู่แล้วเพราะคุณป้าของหลานได้ลาโลกนี้ไปนานหลายปีแล้ว วันเวลาที่ผ่านมาลุงก็พอมีความสุขทางโลกกับลูกๆหลานๆ และช่วยเหลือคนไข้ไปตามประสา จนสามารถที่จะมีเวลาในการศึกษาในทางธรรมจนชีวิตก้าวมาถึงจุดนี้

บันทึกนี้ลุงบันทึกไว้เพื่อให้ลูกหลานได้ระลึกถึงลุง เพราะหลังจากลุงบวชแล้ว ต้องติดตามพระอาจารย์โสณะ เท่าที่ได้กราบพระอาจารย์พระอาจารย์จะธุดงค์เป็นส่วนใหญ่ และลุงเชื่อมั่นว่าพระอาจารย์จะมีอายุขัยมาหลายร้อยปีมาแล้ว เพราะลุงได้กราบถามพระอาจารย์ว่าพระอาจารย์ทำไมพูดได้หลายภาษา พระอาจารย์ยิ้มๆแล้วบอกว่า เมื่อจิตฝึกมาดีแล้วและมีเวลาศึกษาอะไรนานๆก็ไม่ยากที่จะเข้าใจหลายๆภาษา และถ้าไม่อยากศึกษาก็สามารถสื่อสารกันด้วยจิต ลุงได้ถามว่าพระอาจารย์ชื่อพ้องกับพระในคณะพระที่เดินทางมาจากอินเดียในสมัยพระเจ้าอโศก เพื่อมายังสุวรรณภูมิ พระอาจารย์ยิ้มๆ บอกว่าทำไมคิดว่าพ้องล่ะ ลุงเลยบอกว่าเพราะพระที่มาจากอินเดียรูปนั้น ถ้ายังอยู่อายุคงเป็นพันกว่าปีแล้ว พระอาจารย์ไม่ตอบ แต่เบี่ยงไปว่า ในดินแดนจาตุมหาราชิกา หรือรอยต่อนั้น พรรษาหนึ่งกับบ้านเรานานกว่านั้นแล้วนะ และที่ลุงมั่นใจเพราะว่าระดับจิตเจโตของลุงไม่สามารถเทียบเคียงกับจิตของพระอาจารย์ได้ ที่สูงกว่าพระที่มีชื่อเสียงในบ้านเราที่ลุงไปกราบมาแล้วตั้งมากมาย จึงคาดว่าอาจจะได้พบกับหลาน หรือว่าไม่มีโอกาสอีกเลยก็ได้ แต่หวังว่าหลานจะฝึกจิตจนร่างจิตสามารถที่จะติดต่อกับลุงได้ในที่สุด

วิกรม… สิ่งที่ลุงได้บันทึกเล่านี้เป็นการบันทึกที่ผ่านญาณทัศนะของลุงในระดับจิตที่ลุงมีอยู่ สามารถเดินหน้าถอยหลังชัดเจนในพื้นที่ๆกายเนื้อของลุงเคยไปสัมผัสในบริเวณนั้นๆ แต่ที่ผ่านมาลุงมีโอกาสได้เดินทางไปเกือบทั่วทุกจังหวัด เพราะไปทั้งราชการและป้าของหลานเป็นคนชอบเที่ยว ทำให้การผูกจิตเข้ากับจุดที่กายเนื้อผ่านไป มีความชัดเจนในภาพรวมที่พอจะช่วยหลานได้พอสมควร

สุดท้ายที่ลุงจะบอกกับหลานก็คือ ต่อไปประเทศไทยหลังวันที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ลุงไม่แน่ใจว่าในญาณที่ลุงผ่านไปนั้น ลุงเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางดอยสุเทพ หรือขึ้นผิดทาง ที่เราเคยเห็นมาโลกคงเปลี่ยนไปมากทีเดียว ลุงใช้เวลาหลายคืนในระยะที่ผ่านมาเพื่อกำหนดยังที่ต่างๆ หลานจะได้เห็นประเทศไทยเปลี่ยนไป เหนือกับอีสานยังพอมีเหลือคนไทยอยู่มาก น่าสงสารคนภาคใต้ ที่โชคร้าย ที่น้ำทะเลสูงเท่าตึก 5 ชั้น 7ชั้น กวาดเข้ามาในแผ่นดินตอนที่โลกเหมือนจะชนกับอะไรซักอย่างที่ลุงเล่าให้ฟังแล้ว จนคนที่รอดตายเหลือน้อยอยู่แล้วก็จะมาตายกับลูกเห็บยักษ์อีก หลังจากนั้นลุงเห็นคนที่รอดตาย กำลังจะไปหาอะไรทานเพราะความหิว กลับถูกน้ำทะเลมากวาดคนลงไปให้ปลา กินเป็นอาหารอีกมากมาย ภาคใต้คนจะเหลือน้อยจริงๆ

ในส่วนของเมืองกรุงเทพของเราก็คงจะจมลงในน้ำที่เกิดจากเขื่อนพัง มีคนตายมากมาย และกว่าน้ำจะลดลง จำนวนคนตายมากจนคนไม่กล้ามาอยู่ เพราะวิญญาณที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว วนเวียนหาคำตอบให้ตัวเองมากมายไปหมด ใครที่เข้ามาโดยจิตที่อ่อนแอแล้ว จะถูกดวงวิญญาณเหล่านี้พยายามที่จะเข้ามาหาคำตอบ น่ากลัวจนคนไม่กล้ามาจนกลายเป็นเมืองร้าง คนที่มีมากที่สุดแต่กลับเดือดร้อนที่สุดกับคนภาคอีสาน เพราะขุดบ่อน้ำตรงไหนก็เจอแต่หิน บ่อที่เคยมีน้ำ กลับกินไม่ได้เลยกลายเป็นน้ำที่เค็มกว่าทะเล (ระหว่างที่โลกกำลังจะย้ายขั้ว แมกม่าใต้โลกได้ขับดันเกลือทะเลใต้แผ่นดินขึ้นมาปนกับแหล่งน้ำ และอาจมีโลหะหนักเป็นพิษปนเปื้อนอยู่ด้วย โดยคุณ Zeta ให้ดื่มน้ำกลั่น ให้สร้างหม้อกลั่นน้ำเอาไว้)

ลุงเห็นภาพคนเป็นหมื่นเป็นแสนเดินไปอยู่ริมน้ำโขงมากมาย และสุดท้ายคนอีสานข้ามไปอยู่ฝั่งน้ำโขงไปอยู่ประเทศลาว มีพระอาจารย์ที่หูเป็นปานพาชาวบ้านเดินข้ามน้ำไปทางเหนือของเรา อาหารการกินถ้าไม่ได้มีการกักเก็บไว้ล่วงหน้าจะเจอกับปัญหา เพราะอากาศจะหนาวมาก ลุงกำหนดจิตไปที่ภูเขา เจอหิมะบนยอดเขา ตอนแรกคิดว่าอธิษฐานผิดที่ไปเมืองนอก แต่กลับไม่ใช่ ลุงเห็นภาพพระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่กลางหิมะขาวโพลน กว่าจะปรับตัวกันได้ ก็คงจะลำบากหน้าดู แต่อย่างไรก็ตาม ลุงโซ๊ะที่ปลูกพืชเมืองหนาวมาตลอดชีวิตน่าจะช่วยให้คำแนะนำหลานได้ อีกอย่างโรงเขี่ยเชื้อเห็ด เพาะเห็ด ที่ให้พะดีดูแลอยู่ก็น่าจะช่วยเรื่องอาหารได้ นานพอสมควร ที่หลานๆจะได้ปรับตัวกันได้

หวังว่าสิ่งที่ลุงบันทึกนี้ จะเป็นประโยชน์กับหลาน ไม่มากก็น้อย ในการเตรียมการ ส่วนอุปกรณ์ที่ลุงได้เตรียมให้พวกเราไว้ทั้งเป้อุปกรณ์ยังชีพ วิทยุสื่อสาร ชุดป้องกันโรค และอื่นๆขอให้หลานได้ตรวจสอบตามวงรอบที่ลุงได้ทำแผ่นบันทึกให้ตรวจสอบและสับเปลี่ยนยา อาหารหลอดในเป้ รวมทั้งชุดป้องกันเชื้อ ส่วนอาวุธปืน มีดสนาม ขอให้รักษาให้ดี ปืนนั้นทะเบียนเป็นชื่อลุง ก็คงไม่เป็นไร เอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้าย ขอหลานได้ตั้งใจฝึกจิตและพาน้องๆหลานๆฝึกด้วยกับหลาน ส่วนเจ้าตัวเล็กๆทั้งหลายให้ฝึกสวดมนต์ในบทที่ลุงเตรียมไว้ให้ ลุงเขียน Username และ Password ไว้ที่หน้าจอแล้ว ถ้าไม่ลำบากคิดจะทำบุญก็ให้หลานไปตามข้อมูลและติดตามข่าวจากในเว็ปพลังจิตก็จะได้ประโยชน์จากการหาของที่จำเป็นและวิธีการในการเตรียมความพร้อม ขอคุณพระศรีรัตนตรัยได้คุ้มครองหลานๆด้วย สิ่งใดๆที่ลุงได้ล่วงเกินหลานๆและทุกคน โปรดเมตตาอโหสิกรรมลุงด้วย

เมื่อความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิต (blood pressure) หมายถึง ความดันภายในหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจ เพื่อปั๊มเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความดันภายในหลอดเลือดนี้จะมีอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ขณะที่หัวใจกำลังคลายตัวก็ตาม เพราะการไหลเวียนของเลือดต้องมีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นความดันในหลอดเลือดจึงมีอยู่ตลอดเวลา

การทำงานของหัวใจคล้ายก๊อก หรือปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อเลือดไหลแรงดี ความดันก็จะดีด้วย แต่หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็จะลดลง นอกจากนั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของหลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี จะปรับความดันได้ดีไม่ให้สูงเกินไป แต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือแข็งตัว ก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย

สาเหตุ

  1. ปัจจัยของความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่มาจากขบวนการที่เกิดจากความเครียดที่ต้องผจญอยู่เป็นประจำ ส่วนน้อยที่เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกายที่สามารถที่จะแก้ไขได้ และหายเป็นปกติ
  2. หากท่านมีความดันโลหิตสูง ควรที่จะปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจหาสาเหตุ และรักษาให้หายขาดได้
  3. ส่วนใหญ่ของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่ทราบสาเหตุที่เป็นรูปธรรม ต้องมาสนใจกับนามธรรม คือ ความเครียด

โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่มีความสำคัญมากชนิดหนึ่ง ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ ส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมความดันโลหิตที่สูงให้กลับมาสู่ระดับปกติได้ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาในการรักษา และเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เส้นเลือดในสมองแตกทำให้เกิดอัมพาต เป็นต้น

ความดันโลหิตสูงปลอม

ภาวะความดันโลหิตสูงปลอม หมายความว่าจริงๆ แล้วผู้ป่วยไม่ได้มีความดันโลหิตสูง แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ เมื่อมาวัดความดันโลหิต ที่คลินิกแพทย์หรือโรงพยาบาล จะวัดได้สูงกว่าปกติทุกครั้ง แต่เมื่อวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมง หรือวัดด้วยเครื่องอิเลคโทรนิคเองที่บ้าน กลับพบว่าความดันปกติ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า white coat hypertension หรือ isolated clinic hypertension กลุ่มนี้มีอันตรายน้อยกว่าความดันโลหิตสูงจริงๆ

การรักษา

  1. การลดความดันโลหิตโดยธรรมชาติก่อนที่จะต้องใช้ยาลดความดัน ได้แก่ การควบคุมน้ำหนัก การควบคุมอาหารโดยเฉพาะการลดอาหารเค็ม และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่อนคลายความเครียดจากปัญหาต่างๆ
  2. กิจกรรมที่ทำให้เกิดการผ่อนคลายความเครียดจากปัญหาต่างๆ ได้ดี คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง ซึ่งนอกจากความเครียดจะหายไปแล้ว การออกกำลังกายจะมีผลต่อความแข็งแรงของหัวใจ และระบบการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ แม้ขณะพักอยู่หัวใจก็จะเต้นเร็ว ซึ่งเราจะพูดกันติดปากว่าไม่ฟิต ตรงกันข้ามกับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ชีพจรจะเต้นช้ากว่า และเมื่อออกกำลังกายหัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่ก็จะกลับลงสู่ปกติได้โดยเร็ว
  3. การออกกำลังกายที่เหมาะสมในวัยต่างๆ การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยดับความเครียดของท่านลงได้ ความดันโลหิตสูงก็จะลดลงไปด้วย โรคหัวใจก็จะได้ไม่ย่างกรายมาสู่ท่าน
  4. ในผู้สูงอายุ มักจะตรวจพบภาวะความดันโลหิตสูงชนิดซิสโตลิก (isolated systolic hypertension, ISH) หมายถึง ความดันตัวบนสูงเพียงค่าเดียว ในขณะที่ความดันตัวล่างไม่สูง จากการสำรวจพบได้บ่อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนา รวมทั้งโรคหัวใจโต ซึ่งเป็นปัจจัยบ่งชี้ที่สำคัญในการทำนายว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบหัวใจ และการไหลเวียนโลหิตมากกว่าบุคคลทั่วไป
  5. การรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต สามารถลดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา และหัวใจโตได้ และยังช่วยลดอัตราการเกิดอัมพาต และภาวะหัวใจล้มเหลว

เครื่องวัดความดันโลหิต

  1. เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิตที่เป็นมาตราฐาน ประกอบด้วยผ้าที่มีถุงลมพันที่แขน และใช้ปรอทแสดงค่าความดันที่วัดได้ ในขณะวัดความดันโลหิต ผู้ถูกวัดความดันโลหิตควรจะอยู่ในท่านั่งสบายๆ วัดหลังจากนั่งพักแล้ว 5 นาที และไม่วัดหลังจากดื่มกาแฟ หรือสูบบุหรี่
  2. ขนาดของผ้าพันแขนต้องมีขนาดเหมาะสมกับแขนผู้ถูกวัดด้วย หากอ้วนมากแล้วใช้ผ้าพันแขนขนาดปกติ ค่าที่ได้จะสูงกว่าความเป็นจริง
  3. การปล่อยลมออกจากที่พันแขนมีความสำคัญอย่างมาก ต้องปล่อยลมออกช้าๆ มิฉะนั้นจะทำให้ได้ค่าที่ผิดไปจากความเป็นจริงมาก
  4. เครื่องวัดความดันก็ต้องได้มาตราฐาน ไม่ใช่เครื่องเก่ามากหรือมีลมรั่ว เป็นต้น
  5. ตำแหน่งของเครื่องวัดก็ควรอยู่ระดับเดียวกับหัวใจ และต้องวัดซ้ำๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ย
  6. ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ออกแบบมาให้วัดความดันโลหิตได้ง่าย และสะดวกขึ้น โดยผู้วัดไม่จำเป็นต้องมีความรู้เลย เพียงแค่ใส่ถ่าน พันแขน และกดปุ่ม เครื่องจะวัดให้เสร็จ อ่านค่าเป็นตัวเลข เครื่องแบบนี้มีขายตามศูนย์การค้าทั่วไป โดยทั่วไปแล้วใช้งานได้ดี แต่ก็ต้องนำเครื่องมาตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรมีเครื่องชนิดนี้ไว้วัดที่บ้านด้วย
  7. ในอนาคตอาจจะเลิกใช้เครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอท ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลทางสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปรอทเป็นสารที่อันตราย และอีกเหตุผลหนึ่ง คือใช้เทคนิคมากในการวัดให้ถูกต้อง

การวัดความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง

ปัจจุบันพบว่าการวัดความดันโลหิตที่ดีที่สุดคือ การวัดความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งขณะหลับ และตื่น เพื่อดูแบบแผนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และหาค่าเฉลี่ยความดันโลหิตของช่วงกลางวัน และกลางคืน ค่าที่ถือว่าปกติโดยการวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมงนี้ คือ ขณะตื่นความดันโลหิตเฉลี่ยควรน้อยกว่า 135/85 มิลลิเมตรปรอท และเมื่อหลับความดันโลหิตเฉลี่ยควรน้อยกว่า 120/75 มิลลิเมตรปรอท

เตรียมพร้อมก่อนวัดความดันโลหิต

  1. ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ
  2. นั่งพักผ่อนอย่างน้อย 5 นาที
  3. ถ้าใส่เสื้อแขนยาวห้ามม้วนจนรัดต้นแขน เพราะจะทำให้วัดได้ค่าต่ำกว่าปกติ
  4. ผ้าที่พันต้องใช้ขนาดที่เหมาะสมกับแขนผู้ป่วย
  5. ไม่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ชา กาแฟ ก่อนวัดความดันโลหิต 30 นาที
  6. ไม่รับประทานยากระตุ้นระบบประสาท เช่น ยาลดน้ำมูก ยาขยายรูม่านตาเป็นต้น
  7. ถ้าปวดปัสสาวะ ให้ไปเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะเสียก่อน

เทคนิกการวัดความดันโลหิตที่ผิดพลาด

  1. ตำแหน่งของเส้นเลือดที่ทำวัดความดันโลหิตไม่อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ
  2. ปล่อยลมออกจากผ้าพันแขนเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป อัตราที่เหมาะสม คือ 2 มิลมิเมตรปรอทต่อจังหวะหัวใจเต้นหนึ่งครั้ง
  3. ความดันโลหิตที่วัดครั้งแรกมักจะสูงกว่าความเป็นจริง จากการศึกษาวิจัยพบว่าค่าความดันโลหิตที่ได้จากการวัดครั้งที่ 3 มีความแม่นยำถูกต้องมากที่สุด
  4. รัดผ้าพันแขนแน่นหรือหลวมเกินไป ทำให้ค่าที่ได้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

ความผิดพลาดที่เกิดจากเครื่องมือ

  1. ลิ้นควบคุมการปล่อยลมขัดข้อง
  2. ท่อเชื่อมหน้ากากแสดงค่าสกปรก
  3. การใช้เครื่องวัดความดันโลหิตชนิดอะนีรอยด์ ต้องตรวจเช็คกับเครื่องที่ตั้งเป็นมาตราฐานด้วย
  4. เข็มชี้ไม่อยู่ที่ค่าศูนย์

หน่วยวัดความดันโลหิต

ค่าความดันโลหิตเราวัดเป็นหน่วยมิลลิเมตรปรอท และจะบอกค่าเป็น 2 ตัวเลขเสมอ ตัวเลขสูงกว่าหรือบางทีเรียกว่าความดันตัวบน (systolic pressure) จะเป็นความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว และตัวเลขที่ต่ำกว่าหรือบางทีเรียกว่าความดันตัวล่าง (diastolic pressure) จะเป็นความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว

การวัดความดันโลหิตจะต้องบันทึกค่าที่ได้ทั้งสองค่าเสมอ ทั้งค่าความดันตัวบน และค่าความดันตัวล่างมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บางครั้งพบว่าผู้วัดความดันโลหิตให้ความสำคัญกับค่าความดันตัวบนเพียงอย่างเดียว

ค่าความดันปกติ

  1. ค่าความดันโลหิตปกติของผู้ใหญ่โดยทั่วไป ถือว่าค่าความดันตัวบนไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าความดันตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท
  2. ความดันโลหิตที่ “อยู่ในเกณฑ์ปกติ” คือ ต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอท ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท และจะเรียกได้ว่ามีความดันโลหิตสูงเมื่อ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท
  3. ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูง แพทย์จะต้องวัดซ้ำหลายๆ ครั้ง หลังจากให้ผู้ป่วยพักแล้ว วัดซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริง และเทคนิคการวัดความดันโลหิตต้องกระทำให้ถูกต้องครบถ้วน
  4. ความดันโลหิตเป็นค่าไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที การวัดซ้ำในเวลาที่ใกล้เคียงกันอาจได้คนละค่า แต่ก็จะไม่ควรจะแตกต่างกันนัก
  5. ความดันโลหิตขึ้นกับท่าของผู้ถูกวัดด้วย ท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน
  6. นอกจากนั้นยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น อาหาร บุหรี่ อากาศ กิจกรรมที่กระทำอยู่ในขณะนั้น รวมทั้งสภาพจิตใจด้วย

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

50 วิธีเอาชนะภูมิแพ้

 

  1. 1.สระผมของคุณก่อนเข้านอนทุกคืน โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ
  2. 2.อย่าตากเสื้อผ้า และเครื่องนอน (ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน) ไว้กับราวตากผ้ากลางแจ้งในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ เพราะเกสรดอกไม้ และเชื้อราจะเกาะติดกับผ้าที่ตากได้
  3. 3.ล้างมือทันทีหากไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือให้อาหารมัน
  4. 4.เปิดไฟในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในตู้
  5. 5.ไม่ควรนำตุ๊กตาที่ยัดไส้ด้วยนุ่น หรือใยสัตว์ไว้ในห้องนอน
  6. 6.ช่วงสาย ๆ ไปจนถึงตอนบ่าย เป็นช่วงที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย
  7. 7.จงเปลี่ยนเสื้อผ้านอกห้องนอน เพื่อทิ้งสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้ไว้นอกห้องนอน
  8. 8.ถอดเสื้อผ้า และซักทันที หากคุณไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่มีสัตว์เลี้ยง
  9. 9.ห่อหุ้มหมอน และฟูกในผ้าพลาสติกแล้วปูทับด้วยผ้าฝ้าย
  10. 10.ใช้เครื่องปรับความชื้นในห้องที่อับชื้นมาก ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อรา ความชื้นที่พอเหมาะควรมีค่าอยู่ระหว่าง 25-50%
  11. 11.เลิกใช้พรมปูพื้นห้อง เปลี่ยนพื้นห้องเป็นไม้ หรือกระเบื้อง ซึ่งจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
  12. 12.ถ้าคุณแพ้ผึ้ง หรือมดตะนอย ก็จงหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อสีสด ๆ การฉีดสเปรย์ผม การใช้น้ำหอมดับกลิ่นตัว หรือการใส่น้ำหอม รวมทั้งการปิกนิก หรือการตั้งวงปิ้งอาหารรับประทานนอกบ้าน
  13. 13.เปลี่ยนเครื่องเรือนที่บุด้วยนุ่น หรือตกแต่งด้วยขนสัตว์มาเป็นเครื่องเรือนที่ทำจากพลาสติก ไม้ โลหะ หรือหนังสัตว์ ซึ่งจะไม่เก็บกักสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
  14. 14.ในการทำความสะอาดบ้าน จงอย่าใช้ไม้ขนไก่ หรือไม้กวาด แต่จงใช้ผ้า หรือไม้ถูพื้นที่ได้ชุบน้ำแล้ว
  15. 15.เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำเป็นตัวกักฝุ่น และมีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
  16. 16.สวมผ้าปิดจมูก และปากเสมอ เพื่อกันฝุ่นในขณะที่คุณทำความสะอาดบ้าน
  17. 17.อย่ารีบเข้าไปในห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ควรรออย่างน้อย 20 นาทีก่อน เพื่อให้ฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นให้หมด
  18. 18.ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยงคุณต้องป้องกันอากาศมิให้พัดจากนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนของคุณ
  19. 19.ทำความสะอาดบริเวณที่มีราขึ้นด้วยน้ำยาฟอกคลอรีน โดยผสมผงคลอรีน 10 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน
  20. 20.ห้ามทุกคนรวมทั้งแยกสูบบุหรี่ในบ้าน หากจุสูบให้สูบนอกบ้าน
  21. 21.วานคนที่ไม่แพ้ ทำความสะอาดกรงของสัตว์เลี้ยง
  22. 22.ถ้าคุณจะออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็ขอให้ทำในช่วงเช้า ๆ บ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น ๆ
  23. 23.ปิดหน้าต่างรถของคุณให้สนิท แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ไหลเวียน
  24. 24.ไม่ใช้พัดลม เพราะจะพัดเอาเกสรดอกไม้ และเชื้อราเข้ามาในบ้าน รวมทั้งไม่ใช้เครื่องทำความเย็นชนิดอังด้วยน้ำ เพราะจะทำให้ห้องชื้น
  25. 25.หากคุณปิดบ้านไว้นาน เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้นเมื่อคุณกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง คุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรม และทำความสะอาดอย่างดีเสียก่อน
  26. 26.ตรวจสอบว่ามีอะไรในบ้านบ้างที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อรา เมื่อพบแล้วจงกำจัดให้หมด แหล่งเพาะเชื้อราที่อาจเป็นได้ เช่น ในเครื่องทำความชื้นบนพรมที่เปียกชื้น บนพื้นห้องที่ผุ ในถังขยะ บนกระดาษปิดฝาผนังที่เปียกชื้น เป็นต้น
  27. 27.เมื่อคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น จงเลือกใช้ถุงเก็บฝุ่นชนิดถุงหนา 2 ชั้น และแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
  28. 28.เมื่อคุณจะไปเที่ยวพักผ่อนในที่ใด ๆ ก็ตาม จงเลือกสถานที่ ๆ มีฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้น้อย เช่น ชายทะเล
  29. 29.ถ้าคุณคิดว่าอาหารบางอย่างทำให้คุณแพ้ ก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนรายการอาหารอย่างถอนรากถอนโคน
  30. 30.อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่คุณซื้อเสมอ เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผสม เช่น นม ไข่ ถั่ว อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้
  31. 31.พกบัตรที่แสดงข้อความว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดอย่างรุนแรงไว้เสมอ
  32. 32.เลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีขน เช่น ปลา เต่า แทนการเลี้ยงแมว หรือสุนัข
  33. 33.ล้างมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เปื้อนยางต้นไม้
  34. 34.ถ้าคุณต้องการพ่นยาฆ่าแมลง จงเลือกใช้น้ำยาที่คุณไม้แพ้ คุณควรอยู่นอกบ้าน และวานให้คนอื่นพ่นยาฆ่าแมลงให้ เมื่อพ่นยาเสร็จแล้วคุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรกสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน
  35. 35.ทำความสะอาดห้องน้ำ ครัว และห้องใต้ดินบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในบ้าน เพราะห้องเหล่านี้มีความชื้นสูง
  36. 36.หลีกเลี่ยงการใช้เตาที่เผาไหม้ด้วยไม้ เพราะควันไฟอาจทำให้คุณแพ้ได้
  37. 37.สอบถามครูที่โรงเรียน เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณแพ้ เช่น มีสัตว์เลี้ยงในห้องเรียนหรือไม่ มีแมลงสาบในตู้เก็บของหรือไม่ มีตัวไรฝุ่นในพรมปูพื้นหรือไม่
  38. 38.เปิดเครื่องดูดควันเสมอเมื่อคุณทำอาหาร เพื่อลดความชื้น และกำจัดควัน และกลิ่นอาหาร
  39. 39.ซักเครื่องนอนทั้งหลาย (ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ฯลฯ) ในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียสสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อฆ่าตัวไร การเป่าลมร้อนเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะฆ่าตัวไร
  40. 40.หากคุณต้องการขับรถท่องเที่ยวพักผ่อน ก็จงทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในรถเสียก่อน เพื่อกำจัดเชื้อราที่อาจแอบซ่อนอยู่
  41. 41.หากคุณต้องการออกกำลังกายกลางแจ้ง จงเลือกออกกำลังกายในวันที่ไม่มีลม
  42. 42.ติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ห้องน้ำ และเปิดใช้ทุกครั้งที่อาบน้ำ
  43. 43.อยู่ให้ห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้แพ้ เช่น ควันบุหรี่ หมอกควัน น้ำหอม และสบู่หรือน้ำยาซักล้างที่มีกลิ่นฉุน
  44. 44.ถ้าคุณต้องการทาสีบ้านใหม่ จงเลือกใช้สีน้ำมัน และอย่าอยู่บ้านในขณะที่ช่างกำลังทาสีบ้าน
  45. 45.หากคุณคิดจะย้ายบ้าน จงแวะเวียนไปยังบ้านใหม่นั้นอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อน เพื่อทดสอบว่าคุณไม่แพ้ แต่ก็อย่าลืมว่าอาการแพ้อาจกลับมาหาคุณได้อีก แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการเลยเป็นเวลาหลายเดือน หรือหลายปีก็ตาม
  46. 46.เลือกให้หมอน ฟูก หรือผ้าห่มที่บุด้วยยางแทนพวกที่ยัดด้วยนุ่นหรือขนสัตว์
  47. 47.หมั่นทำความสะอาดบริเวณใต้ตู้เย็น ซึ่งมักเป็นที่สะสมของเศษอาหาร และฝุ่น และกลายเป็นสวรรค์ของแมลง และเชื้อรา
  48. 48.หมั่นตัดกิ่งไม้ ตกแต่งพุ่มไม้ บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้รกเรื้อใกล้ตัวบ้านหรือห้องนอนของคุณ
  49. 49.ห้ามนำสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมวและสุนัข ไว้ในห้องนอนอย่างเด็ดขาด ห้องนอนของคุณจะได้ปราศจากจากสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
  50. 50.ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการที่เป็น แพทย์อาจสั่งยาให้คุณ ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้ ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการแพ้

ที่มา  :  แผ่นพับ บริษัท เชอริ่ง-พลาว จำกัด

ตำนานสวรรค์

เรื่องเล่านับตั้งแต่บรรพกาลนามา หลังจากเพลิงประลัยกัลป์ทำลายล้างโลกแล้วเมื่อนานมาแล้วมากๆ ขณะนั้นมีเพียงอากาศที่ว่างโลก มีเพียงอากาศธาตุ ที่เป็นจิตวิญญาณ เท่านั้นเอง มีอากาศธาตุที่เป็นผู้มีความศักสิทธิ์ คือ พระเวท และมีอากาศธาตุอีกท่านหนึ่งที่มีความศักสิทธิ์และไม่มีตัวตน คือพระธรรมจักร ครอบครองอากาศธาตุที่ว่างเปล่าอยู่ทางด้านเหนือของจักรวาล มีบารมีธรรมมากและสูงสุด และมีพระอากาศธาตุต่างๆอยู่ในจักรวาล

เริ่มต้นทั้งสองอยู่กันอย่างสันติสุข แต่มาคราวหนึ่งพระเวท ที่จิตใจมีกิเลสพอกพูนมีความโลภโกรธหลงในจิตสัญดาน จึงได้คิดหาช่องทางกำจัดพระธรรม เพื่อหวังครอบครองเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว กาลครั้งแรกๆ พระเวทก็ขบคิด และลองอิทธิฤทธิ์สร้างพายุใหญ่น้อย เพื่อหวังทำลายพระธรรมจักรให้จงได้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่สามารถทำลายพระธรรมจักรได้ เพราะพระธรรมจักรอยู่ในความสงบเย็นและเหมือนไม่มีสิ่งใด อาการที่ไม่สะทกสะท้านต่อการทำลายล้างของพระวท ยิ่งกระพือกิเลสให้พระเวท ยิ่งโกรธแค้นเป็นอันมากถึงขนาดรวบรวมอิทธิฤทธิ์ที่มีหวังพิชิตพระธรรมจักรให้ได้ ด้วยการสร้างพายุใหญ่ด้วยอานุภาพร้ายแรง แม้แต่ก้อนเมฆก็กระจุยกระจายเสียหายยับเยิน กลายเป็นละลองนำ สำแดงเดชพ่นไฟกรดอาคมออกจากปาก แต่กาลสุดท้ายพระธรรมจักรเพียงแค่โปรยปรายสายฝนด้วยฤทธิ์บารมีก็สามารถทำลายล้างอำนาจมืดได้ทันที แล้วสงบนิ่งดังเดิม

ไม่ว่าพระเวทจะกระทำการใดๆ ก็ตามก็ไม่สามารถต่อกรกับพระธรรมที่มีความสงบได้ จึงคิดกลเล่ห์ แจ้งแก่เจ้าแห่งพระอากาศธาตุว่าพระธรรมจักรคิดการใหญ่หวังทำลายล้างผู้อื่นและยกตนขึ้นเป็นใหญ่แล้วยุยงพระอากาศธาตุทั้งหลายร่วมกันทำลายพระธรรมจักรให้สิ้นไป จอมอากาศธาตุจึงร่วมประชุมพระอากาศธาตุทั้งสิบทิศ เพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้ ในที่สุดทุกพระอากาศธาตุเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้เป็นจริงต้องรีบกำจัดพระธรรมจักร มีเพียงพระเทพอุดรและพระเทพบูรพา สองพระอากาศธาตุเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย ทั้งแปดรวมทั้งพระเวท จึงเร่งไปหาพระธรรมเพื่อก่อสงครามอวกาศ โดยมีเทพอุดรและบูรพาเท่านั้นที่คอยปกป้องพระธรรมจักร

เมื่อพระอกาศธาตุทั้งหมดไปพบพระธรรมจักรก็เกิดการรบพุ่งกัน เกิดเสียงดังกัมปนาท อิทธิบารมีต่างๆ ถูกนำมาใช้แทบสิ้น ทั้งไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา แม้พายุใหญ่ก็หวังโหมกระหน่ำเข้าหาพระธรรมจักร แต่ในที่สุดพระธรรมจักรเพียงแค่อ้าปากออกกว้างรับเหล่าบริวารของพระเวท เข้าปากจนหมดสิ้น แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายพระธรรมจักรได้ แล้วพระธรรมจักรก็สงบนิ่งดังเดิม ไม่โกรธแค้นต่อการกระทำใดๆของพระเวท

สุดท้ายพระเวทจึงคิดได้ว่า ตนไม่สามารถเอาชนะพระธรรมจักรได้ และคิดได้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นผิด สำนึกได้ จึงขออโหสิกรรมต่อพระธรรมจักร และกลับตัวกลับใจใหม่ และพระธรรมก็อธิบายข้อธรรมที่เป็นสิ่งเค้าจุนโลก หากขาดธรรมก็จะถึงจุดจบ

นับแต่นั้นมาพระธรรมจักรกับพระเวทจึงเป็นมิตรและมีความซื่อสัตย์ต่อกัน อยู่มาวันหนึ่งพระอากาศธาตุและพระธรรมจักรได้ร่วมปรึกษาราอกันว่า อากาศธาตุที่เราทั้งหลายดำรงอยู่นี้ว่างเปล่ามาช้านาน พระธรรมจักรเสนอว่า น่าจะมีการสร้างสรรค์ ส่วนของรูปร่างตัวตน เพื่อให้ชาวอากาศธาตุได้หาความสุขสำราญกัน ต่อไปภายภาคหน้าจะได้มีการสร้างตัวตน

และในที่สุดที่ประชุมได้ตกลงกันว่าจะสร้างโลก และได้มีการแบ่งงานกันทำ

โดยกำหนดว่าจะต้องสร้างกลุ่มองค์เทพก่อน เพื่อองค์เทพจะได้สร้างมนุษย์และสรรพสัตว์ ในการสร้างโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ประชุมจึงตกลงกันว่าเรื่องนี้ต้องให้พระเทพบิดร หรือพระกัศยปะ ซึ่งเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะสร้างกามาพจรสวรรค์ได้ และให้มีพระอทิติเทพมารดรเป็นพระชายา และให้เขาเหมกูฏบรรพต ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญตบะของพระกัศยปะเป็นสวรรค์ 26 ชั้น ในตอนแรกของการสร้างสวรรค์ ทุกองค์ที่ร่วมประชุมกันต่างหลับตาภาวนาขอบารมีแต่ละองค์ที่สะสมกันมาทั้งพระธรรมจักร พระเวท พระไสยศาสตร์ นั่งรายล้อมกัน โดยมีนางทิติ เป็นพระชายาอีกองค์ของพระกัศยปะ หลังจากสมธิจิตไภยหลังด้ที่ ก็บังเกิดการสั่นสะเทือนกัมปนาทเกิดหมอกควันคลุมมืดมิด

ภายหลังการอธิษฐานสิ้นสุดลง พระกัศยปะ ก็กลายเป็นเทพบุตรรูปงามส่วนชายาอีกสององค์คือพระอทิติกับนางทิติก็กลายเป็นเพทธิดารูปงาม มีรูปร่างตัวตน อย่างมีสง่าราศี หลังจากนั้นก็ให้กำเนิดโอรส รุ่นแรก ได้รับนามว่าพระอิศวร และมีพระชายาชื่อพระศรมหาอุมาเทวี และเกิดโอรสธิดา รุ่นต่อๆมา ร่นแรกได้แปดองค์ มี

พระพิรุณ พระมิตราทิตย์ พระอรยมนาทิตย์ พระภคาทิตย์ พระองศาทิตย์ พระอินทร์ พระธาตราทิตย์ และพระอาทิตย์

สำหรับนางธิติให้กำเนิดพวกอสูร แทตย์ เทวดา พญานาค คนธรรพ์

เมื่อเริ่มจะสร้างโลกพระอิศวรก็ใช้อิทธิฤทธิ์ลูบพระหัตถ์ขวาสามครั้งก็บังเกิดพระนารายณ์ จากนั้นก็มอบหมายให้พระนารายณ์เป็นเหมือนตำรวจมีหน้าที่ปราบบนสวรรค์ จากนั้นก้ลูบพระหัตถ์ซ้ายสามครั้งก็บังเกิดพระพรหม จากนั้นพระอิศวรก็สร้างพระวิศวกรรม ต่อมจากนั้นก็ให้ทั้งสามองค์ และพระอุมาเทวี บันดาลให้เกิดเขาพระสุเมร เป็นโลก

ต่อจากนั้นจึงให้พระโอรส ธิดา เร่งสร้างมนุษย์ สรรพพสัตว์ พืชพันธุ ต่างๆบนโลก

ในเวลาต่อมาพระอิศวรก็ได้ทรงเห้นคุณประโยชน์ที่ชาวพระอากาศธาตุเป็นผู้สร้างตัวตนของสวรรค์ขึ้นจึงประกาศแต่งตั้งและสร้างตัวตนให้กับพระอากาศธาตุทั้งแปดให้มีรูปร่างตัวตน เป็น พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระเกตุ

สำหรับสองพระอากาศธาตุสององค์คือพระเทพอุดร และพระเทพบูรพา มีความชอบเป็นอันมากที่ได้เคยปกป้องคุ้มครองพระธรรมจักรเอาไว้ เมื่อครั้งเกิดสงครามพระอวกาศ ให้มีรูปร่างตัวตนเป็นเทพบุตรมีวิมานอยู่บนเทวโลก รอคอยให้พระธรรมจักรได้ลงไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระเทพอุดรจะไปบังเกิดเป็นพระโมคัลลานะ ส่วนพระเทพบูรพาไปบังเกิดเป็นพระสารีบุตร ในโลกมนุษย์ต่อไป

ต่อจากนั้นพระอิศวรได้ทำการมอบรางวัลให้กับพระอากาศธาตุอื่นที่มีส่วนได้สร้างองค์เทพดังนี้

1. พระเวท ได้บังเกิดรูปร่างตัวตน เป็นท้าวเวสสุวรรณ

2. พระมนต์ ให้บังเกิดเป็นท้าววิรุฬหก

3. พระคาถา ให้บังเกิดเป็นท้าวธตรฐ

4. พระไสยศาสตร์ ให้บังเกิดเป็นท้าววิรูปักษ์

ยาเกร็กคู (GRAKCU CAPSULE) ยาแผนโบราณ

1. อี๋อี่ยิ่ง (เดือย) : สรรพคุณ... ราก : นำมาทำเป็นยาชงทาน เพราะมีสารพวก coixol ซึ่งใช้ขับพยาธิในเด็ก.... เมล็ด : นำม่ทำเป็นยาใช้บำบัดอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ มีน้ำคั่งในปอด และถ้านำมาหมักจะได้แอลกอฮอล์ ซึ่งใช้ในโรคข้ออักเสบ แต่ถ้าคนที่ฟื้นไข้ใหม่ๆ ก็นำเมล็ดมาชงซึ่งเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เป็นยาเย็น และขับปัสสาวะ

2. เนกกุ่ย : สรรพคุณ... เป็นยารสหวาน ฤทธิ์เผ็ดร้อน เสริมความร้อนให้กับร่างกาย แก้อาการท้องร่วง ปวดเอว ปวดเข่า ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

3. เกากี้จี้ : สรรพคุณ... ผง ราก ต้น ใบ และเปลือกรากเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงสายตา บำรุงเลือด ขับปัสสาวะ แก้ไอ แก้ไข้ แก้เหงือกบวม แก้โรคเบาหวาน และโรคไต ใบและผลนำมาทำเป็นอาหารได้

4. โถ่วชี้จี้ : สรรพคุณ... ลำต้น ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มน้ำกินเป็นยาแก้บิด อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด ตกเลือด ไอเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล แก้โรคดีซ่าน และแก้พิษ หรือใช้ภายนอก โดยการนำเอาลำต้นมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทา หรือพอกบริเวณที่เป็นฝ้า ผดผื่นคัน แผลเรื้อรัง และใช้ห้ามเลือด เป็นต้น.... เมล็ด ใช้เมล็ดที่แห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มน้ำกิน หรือนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ด หรือทำเป็นยาผง ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงตับไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ทำให้ตาสว่าง แก้กระหายน้ำ และแก้น้ำกามเคลื่อน เป็นต้น

5. ตั่วจ้อ : สรรพคุณ... น้ำต้มจากเปลือกต้มกินเป็นยาฝาดสมาน แก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ไอ แก้เหงือกอักเสบ... ผลแห้งช่วยการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหาร ช่วยย่อย บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ไอ ช่วยสงบประสาท และใช้ผสมกับสูตรยาอื่นๆเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น

6. ซัวเอียะ : สรรพคุณ... เสริมสร้างร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องร่วง ลดเหงื่อ บำรุงไต และใช้ได้ผลมากกับอาการอันเกิดจากโรคเบาหวาน เช่น กระหายน้ำ ซูบผอม ปัสสาวะมาก รวมทั้งอาการเหงื่อออกมาก นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร

7. อิมเอียงคัก : สรรพคุณ... รสหวาน เผ็ดร้อน ฤทธิ์อุ่น เป็นยาที่มีสรรพคุณฟื้นฟูไต ใช้แก้ปวดหลัง เป็นยาบำรุงร่างกาย

8. ตังถั่งเช่า : สรรพคุณ... บำรุงไต สร้างฮอร์โมน บำรุงหัวใจ ปอด หลอดลม กล่องเสียง เสริมอายุวัฒนะ

9. โหงวบี่จี้ : สรรพคุณ... บำรุงเลือด บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงไต แก้อาการปัสสาวะรดที่นอน เสริมกำลังให้แข็งแรง ใช้บำบัดอาการตายด้าน

10. แปะตุ๊ก : บำรุงกระเพาะอาหาร เสริมสร้างร่างกาย และขับปัสสาวะ จึงใช้สำหรับบำบัดอาการอาหารไม่ย่อย บิดเรื้อรัง เบื่ออาหาร แขนขาไม่มีแรี่ยวแรง และบวมน้ำ เป็นต้น

gragku

เจดีย์วัดป่าสัก

เจดีย์วัดป่าสัก ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย สร้างขึ้นโดยพระเจ้าแสนภู กษัตริย์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์เม็งรายเมื่อราวพ.ศ. ๑๘๗๑ ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ กล่าวว่า “ ยังมีมหาเถรเจ้าองค์หนึ่งเอาพระบรมธาตุกระดูกตาตีนถ้ำขวา(เบี้องขวา)แห่งพระพุทธเจ้าใหญ่เท่าเม็ดถั่วกว่าง(ถั่วเขียว)เอามาแต่เขตเมืองปาฏลีบุตรนั้น เอามาสู่พระยาราชแสนดู แล้วท่านก็พร้อมกับด้วยมหาเถรเจ้าเอาไปสร้างมหาเจดีย์บรรจุไว้ภายนอกประตูเชียงแสน ด้านเวียงแห่งตนภายตะวันตก ต่อวัดพระหลวงภายนอกที่นั้นแล้ว ก็สร้างให้เป็นความกว้าง ๕๐ วา เอาไม้สักมาปลูกแวดกำแพง ๓๐๐ ต้น แล้วเรียกว่าความป่าสักแต่นั้นมาแล แล้วก็สร้างกุฎีให้เป็นทานแก่มหาเถรเจ้าตนชื่อว่า พุทธโฆษาจารย์นั้น อยู่สถิตที่นั้นก็อภิเษกขึ้นเป็นสังฆราชมหาเถรอยู่ยังตราบป่าสักที่นั้น”         เจดีย์วัดป่าสักเป็นเจดีย์ห้ายอดคล้ายเจดีย์เชียงยืน ที่วัดพระธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน แต่มีลักษณะคลี่คลายออกไปแล้วคือ ผังส่วนล่างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเตี้ยๆซ้อนลดหลั่น รองรับชั้นแถวจระนำซึ่งทั้งสี่ด้านมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนด้านละสามองค์ รวมทั้งหมด ๑๒ องค์ และยังมีจระนำเล็กอีกสี่สลับสำหรับประดิษฐานรูปเทวดายืน (ชั้นจระนำนี้มีต้นเค้าจากอิทธิพลเจดีย์กู่กุดแต่ลดชั้นเหลือเพียงชั้นเดียว) เหนือขึ้นไปเป็นฐานเขียงลดหลั่นสี่ชั้น ชั้นที่กล่าวมาเหล่านี้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากที่ปรากฏที่เจดีย์เชียงยืน พ้นจากส่วนนี้เหมือนเจดีย์เชียงยืนคือ เป็นฐานบัวรองรับเรือนธาตุสี่เหลี่ยม แต่ละด้านมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนทั้งสี่ด้าน กรอบซุ้มประดับด้วยฝักเพกาสูงแหลมลดหลั่นกันแบบศิลปะพุกามที่มีชื่อเรียกว่า เคล็ก (CLEC) ที่มุมเหนือเรือนธาตุประดับเจดีย์องค์เล็กๆ เหนือเรือนธาตุตรงกลางเป็นแท่นแปดเหลี่ยมมีบัวปากระฆังรองรับองค์ระฆังกลมที่ประดับลายรัดอก เหนือองค์ระฆังเป็นบัวกลุ่มซ้อนกันขึ้นไปจนถึงปลียอด         เจดีย์หลวง(ราชกุฎี) วัดเจดีย์หลวงโชติการาม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๑๙๕๔ ในรัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมา แต่ยังไม่สำเร็จก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน พระมเหสีของพระองค์โปรดให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จในรัชกาลของพระเจ้าสามฝั่งแกน เจดีย์องค์เดิมน่าจะมีห้ายอด ต่อมาราวพ.ศ. ๒๐๐๒ พระเจ้าติโลกราชโปรดให้หมื่นค้ำพร้าคตปฏิสังขรณ์แปลงแบบเดิมโดยขยายขนาดของเจดีย์ เอาศิลาแลงมาเสริมฐานและทำรูปช้าง ๒๘ ตัวโผล่จากผนังทั้งสี่ของฐานประทักษิณ และเปลี่ยนแปลงส่วนบน ซึ่งตำนานระบุว่าโปรดให้ “มีระเบียบกระพุ่มเดียว” และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในองค์เจดีย์ เจดีย์องค์นี้มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ ฐานประทักษิณสูง จึงมีบันไดทางขึ้นสี่ด้าน แต่คราวบูรณะในอดีตครั้งหนึ่งได้ปิดขั้นบันไดทางขึ้น ปัจจุบันบูรณะเหลือบันไดทางขึ้นเฉพาะด้านตะวันออก เหนือฐานประทักษิณเป็นเรือนธาตุทรงสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม กลางด้านทั้งสี่มีซุ้มจระนำ จระนำด้านตะวันออกเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตซึ่งพระเจ้าติโลกราชโปรดให้อัญเชิญมาจากเมืองลำปาง(เขลางค์) เหนือเรือนธาตุควรเป็นทรงระฆังตั้งบนชุดของชั้นแปดเหลี่ยม มีบัลลังค์ ปล้องไฉนและปลี ต่อมาในสมัยพระเมืองแก้ว พ.ศ. ๒๐๕๕ โปรดให้ห่อหุ้มองค์เจดีย์หลวงด้วยทองคำ และในพ.ศ. ๒๐๘๘ สมัยพระนางจิรประภามหาเทวีได้เกิดแผ่นดินไหว ยอดเจดีย์หักพังลงมา ในสมัยพระไชยเชษฐาซึ่งเสด็จมาจากล้านช้าง เมื่อพระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทจากพระราชวังมานมัสการพระเจดีย์องค์นี้ด้วย เจดีย์เชียงมั่น วัดเชียงมั่น ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในพงศาวดารโยนกกล่าวว่า เมื่อพญาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้วเสร็จในพ.ศ. ๑๘๓๙ พระองค์ได้เสด็จจาก

เจดีย์วัดป่าสักเจดีย์วัดป่าสัก2

เจดีย์กู่คำ

เจดีย์กู่คำที่วัดเจดีย์สี่เหลี่ยม อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

สถูปเจดีย์ทรงมณฑป หรือทรงปราสาท เจดีย์ทรงนี้ระยะแรกแสดงรูปแบบอิทธิพลหริภุญไชย (ด้วยดินแดนล้านนาแต่เดิม เคยอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมือง ศาสนาและวัฒนธรรมจากหริภุญไชยมาก่อน ดังนั้นศิลปกรรมหริภุญไชยจึงมีอิทธิพลต่อศาสนสถานล้านนาในระยะแรกๆ) ลักษณะสำคัญคือ เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมตั้งซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นชั้น แต่ละชั้นแต่ละด้านมีจระนำสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนยอดเป็นทรงระฆังหลายลูกซ้อนต่อเนื่องกันเป็นชุด เจดีย์กลุ่มนี้ที่สำคัญ เช่น เจดีย์กู่คำที่วัดเจดีย์สี่เหลี่ยม อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ต่อมาทรงเจดีย์มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มยกเก็จที่เรือนธาตุ และเปลี่ยนเรือนธาตุชั้นลดเป็นหลังคาลาด เหนือชั้นหลังคาลาดเป็นองค์ระฆัง ปล้องไฉน และปลียอด และพัฒนาการสุดท้ายเป็นการผสมระหว่างทรงเจดีย์ที่กล่าวมากับเจดีย์แบบจีนที่เรียกว่า “ถะ” เกิดแบบพิเศษ เช่นเจดีย์วัดตะโปทาราม และเจดีย์กู่เต้า เป็นต้น เจดีย์กู่คำ วัดเจดีย์สี่เหลี่ยม อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ตามประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นในสมัยพญามังราย ตั้งอยู่ภายในบริเวณเมืองเก่าเวียงกุมกามก่อนที่พระองค์จะเสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ รูปทรงเจดีย์คงถ่ายแบบมาจากเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมห้าชั้นซ้อนลดหลั่นในลักษณะเรียวสอบขึ้นไป แต่ละชั้นมีซุ้มจรนัมด้านละสามซุ้ม ภายในแต่ละซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน รวมทั้งสิ้น ๖๐ องค์ ต่อมาราวพ.ศ. ๒๔๔๙ คหบดีชาวพม่าชื่อหลวงโยทการพิจิตร มีศรัทธาปฏิสังขรณ์โดยเพิ่มซุ้มพระอีกด้านละหนึ่งซุ้ม รวมทั้งดัดแปลงลวดลายปูนปั้นกลายเป็นแบบพม่าไปดังปรากฏในปัจจุบัน

เจดีย์กู่คำ

สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช…พระเจ้าอุภัยภูธรบวรไชยเชษฐาธิปัตย์ศรีสัตนาคนหุต

สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช มีพระนามเดิมว่า "เจ้าเชษฐวังโส" พระบิดาทรงพระนามว่า "พระเจ้าโพธิสาร" หรือ "พระเจ้าโพธิสารราช"เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองนคร ศรีสัตนาคนหุตเชียงทองในรัชกาลที่20 ประสูติปีมะเมีย(ปีม้า) เดือนอ้ายหรือเดือนเจียง หรือเดือนหนึ่ง แรม 9 ค่ำ วันอาทิตย์เวลาเที่ยง ปี พ.ศ.2077 สมัยเยาว์วัย เจ้าฟ้าเชษฐวังโส หรือเจ้าฟ้าไชยเชษฐากุมาร มีจิตใจใฝ่การศึกษาเล่าเรียน ฉลาดหลักแหลม และมีจิตเอื้ออารี

เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 14 พรรษา พระเจัานครเชียงใหม่(เสด็จปู่) ก็เสด็จสวรรคตฝ่ายเสนาอำมาตย์และพระสงฆ์องค์เจ้าผู้ใหญ่ จึง ได้ปรึกษาหารือเห็นดีงามพร้อมกันว่า "เจ้าฟ้าไชยเชษฐาราชกุมาร พระราชโอรสของ พระนางหอสูง สมควรจะได้ปกครองราชสมบัติในนครเชียง ใหม่แทนพระอัยกา" แล้วพระเจ้าไชษฐากุมาร ก็ได้ปกครองราชสมบัติเป็น พระเจ้า แผ่นดินในนครเชียงใหม่ พ.ศ.2091 เพื่อเป็นสิริมงคลในการเสวย ราชสมบัติของพระเจ้า ไชยเชษฐา ธิราชนั้น เสนาอำมาตย์จึงได้ไปอัญเชิญพระมหามณีรัตน์ปฎิมากรแก้วมรกต ที่ ประดิษฐานอยู่ที่เมือง ลำปางไว้ที่เมืองเชียงใหม่

ปี พ.ศ.2093 พระเจ้าโพธิสารราชก็เสด็จสวรรคต(พระบิดา) เสนาอำมาตย์ทั้งหลายก็ได้แต่ง พระราชสาส์นฉบับหนึ่ง แจ้งข้อราชการในนคร ศรีสัตนาคนหุตเชียงทอง ไปถวายระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ที่นครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือพระยายศลือเกียนเป็นผู้นำขึ้นไป ถวาย ครั้นทราบจากราชสาส์นแล้ว พระองค์ก็ทรงกรรแสง (ร้องไห้) และทรงคิดถึงพระราชบิดา ด้วยยังไม่เห็นพระทัยเมื่อสรรคต

ดังนั้นพระองค์ ได้ทรงปรึกษาหารือกับเสนาอำมาตย์ว่า "เราจะไปเยี่ยมพระศพและทำการฌาปนกิจศพพระราชบิดาของเรา ที่นครศรีสัตนาคหุต และจะทรงเยี่ยมพระญาติ และบ้านเมืองของเราด้วย จะไปยาวนานเท่าไรยังไม่ทราบ และเพื่อเป็นสิริมงคล แก่บ้านเมือง เราจะนำเอา พระแก้วมรกต ไปด้วย"

พอแต่ท้าวเพีย(พระยาผู้ใหญ่) จัดยุทธโยธาจตุรงค์พร้อมเพียงแล้ว พระองค์ก็ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระพุทธสิหิงส์ ซึ่งเป็นพระพุทธ รูปศักดิ์สิทธิ์ จัดขบวนแห่จนถึง พระนครศรีสัตนาคหุตเชียงทอง ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกจากเมืองเชียงใหม่ พระองค์ได้มอบเมืองให้แก่ พระยา กงกางราช ผู้เป็นลุงให้เป็นผู้รักษา ว่าราชการบ้านเมืองแทนชั่วคราว

พวกเสนาฝ่ายใต้ อันมีพระยาเวียง แสนมะโรง มารดาพระล้านช้างและกวานด้ามฟ้า เป็นหัวหน้าพอทราบข่าวว่า พระโพธิสาร เสด็จสวรรคตแล้ว ก็พร้อมกันคิดว่า จะอภิเษกพระล้านช้างขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงพากันแข็งข้ออยู่ที่เมืองปากห้วยหลวง

สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงทราบ จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้ พระศรีสัทธรรมไตรโลก ยกไพร่พลโยธาลงมาปราบกองทัพทหาร ของพระเจ้าล้านช้าง กองทัพ ทั้งสองทำสงครามกันอยู่ที่แก้งสา พระเวียงกวานด้ามพ้า และพระยาแสนณรงค์ เห็นว่าจะต้านไม่ไหว จึงได้พาพระ ล้านช้างหนีลงไปพึ่งพระยานครที่เมืองกระบอง(เมืองท่าแขก) พระยานครจึงได้จับคนทั้งสามส่งให้พระยาศรีสัทธรรมไตรโลก ทั้งสามคนจึ่งถูก พระยาศรีสัทธรรมไตรโลก สั่งประหารชีวิต แล้วควบคุมเอาพระมารดาและพระล้านช้างขึ้นมา นครเชียงทอง พอขึ้นมาถึงแก้งปิง พระยาศรีสัทธรรม ไตรโลก ก็ได้ประหารชีวิตพระมารดาของพระล้านช้างเสีย คุมเอาเฉพาะพระล้านช้างและแม่เลี้ยง มีชื่อว่า "นางกองสร้อย" ขึ้นไปนครเชียงทอง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงพระราชทานอภัยโทษ แล้วให้ไปอยู่กับพระยาแสนเมือง

เมื่อจัดการบ้านเมืองได้สงบเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงทรงพระราชทานเพลิงศพพระราชบิดา และพระองค์ก็ได้ทรงผนวช จูงพระบรมศพ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเหล่าเสนาอำมาตย์ราชมนตรีและพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลาย จึงพร้อมกันอภิเษก พระไชยเชษฐาธิราชเจ้า ขึ้นเป็น พระเจ้าแผ่นดินปกครองนครเชียงทอง

ถวายพระนามว่า "พระอุภัยภูธรบวรไชยเชษฐาภูวนาถาธิปัตศรีสัตนาคนหุต" ด้วยที่พระองค์ได้เป็นพระเจ้า แผ่นดินปกครองทั้งสองนคร พระองค์จึงทรงแต่งตั้ง พระยาศรีสัทธรรมไตรโลก ผู้มีความชอบขึ้นเป็น "พระยาจันทบุรีศรีสัทธรรมไตรโลกน้าออก" เป็นพระเจ้าปกครองเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ.2093

บรรดาเมืองที่ขึ้นกับนครเวียงจันทน์ ดังนี้

1.เมืองเชียงคาน

2.เมืองแก่นท้าว

3.เมืองแก

4.เมืองพระน้ารุ่งเชียงสา

5.เมืองห้วยหลวง

6.เมืองเวียงคำ(คู่กับเมืองเวียงจันทน์)

พอพระยาจันทบุรีขึ้นปกครองนครเวียงจันทน์แล้วก็ได้สร้างวัดขึ้น 2 วัดคือ 1 วัดพระยา(วัดเพีย ในปัจจุบัน) 2.วัดจันทบุรีศรีสัทธรรมไตรโลก อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง (วัดจันทบุรี ในปัจจุบัน)

ปี พ.ศ. 2094 สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้มีพระราชโองการแต่งให้เสนามนตรีไปบอกทางนครเชียงใหม่ว่า พระองค์จะ ไม่ได้เสด็จกลับ คืนมานครเชียงใหม่แล้ว ส่วนราชการบ้านเมืองขอมอบให้พระนางเจ้าจิระประภา เป็นผู้ดูแลแทนต่อไป

ฝ่ายเสนาอำมาตย์ผู้ใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ได้ทราบดังนี้ ก็เกิดทะเลาะกันแย่งความเป็นใหญ่จนเกิดศึกกลางเมือง พระองค์ทรง ทราบเรื่อง จึงมีพระราชโองการให้ พระยาเมืองแพร่ กับพระยานครล้านช้างและพระยาทัวเวียง ยกกำลังขึ้นไปปราบปรามจึงสงบลง

สามปีต่อมา ปี พ.ศ.2096 พวกเสนาอำมาตย์นครเชียงใหม่ ได้พร้อมกันไปเชิญเอา "เจ้าเนกุติ" ผู้เป็นเชื้อสายของพระยาเม็งราย ซึ่งขณะนั้นทรงผนวชอยู่ ให้ลาสิกขาออกมาอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งนครเชียงใหม่ สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงทราบ ก็พิโรธเป็นอย่างมาก ซึ่ง เมืองเชียงใหม่ยังเป็นของพระองค์อยู่

ปี พ.ศ.2098 พระองค์จึงทรงยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ ในขณะนั้นสมเด็จพระไชษฐาธิราช ได้แต่งตั้งให้พระยาเมืองกลาง เป็นแม่ทัพยก ไปตีเชียงแสน ตัวแสนน้อยหนีไปเมืองตองอู(เมืองหงสาวดี) พระองค์เสด็จขึ้นไปประทับที่เมืองเชียงแสน และตั้งนครเชียงแสนเป็นราชธานีทรง ปกป้องรักษาไพร่พล ช้างม้าอยู่ที่นั่น นานถึง 8 เดือน เพื่อจะตีเอานครเชียงใหม่คืนมาให้ได้

ฝ่ายแสนน้อย ที่หนีไปนั้นได้ไปเชิญเจ้าฟ้าหงสาวดีบุเรงนอง ให้มาตีเมืองเชียงใหม่ เจ้าฟ้าหงสาวดี จึงมีราชสาส์นโดยให้น้อยเจียถือไป ถวายสมเด็จพระไชษฐาธิราชอยู่เมืองเชียงแสนมีข้อความว่า "เมืองเชียงใหม่เป็นของลูกเรา เราก็รู้เป็นอย่างดี แต่พ่อเจัาหมื่นกวาน กับนายประ เทียบวิชุลได้มาบอกเล่า ถึงอังวะโน้น พระเมกุติ ทั้งแสนน้อยเขาได้ชิงเอาเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว บัดนี้เราผู้พ่อก็ได้รับพระเมกุติ และแสนน้อยไว้ แล้ว บัดนี้เมืองเชียงใหม่นี้ ลูกเราจะมาเอา เราผู้พ่อจักมอบให้"

สมเด็จพระไชษฐาธิราช ได้ทรงทราบพระราชสาส์นนั้นแล้ว และทรงตอบกลับไปว่า "เมืองเชียงใหม่นี้หากเป็นเมืองของเราผู้ลูกแท้ พ่อเรา ตาย เรากลับไปบวช และสร้างมหาธาตุทั้งวิหาร ให้ทานเป็นการตอบแทน คุณพ่อเรา เราจึงฝากเมืองไว้กับพระสงฆ์และเสนาอำมาตย์ทั้ง หลาย เขาไม่อยู่ในคำสัตย์ที่ตั้งไว้ เลยเอาพระเมกุติมาตั้งแทน บัดนี้พ่อเราได้เมืองเขียงใหม่แล้ว เราขอถวายมอบให้แก่พ่อเรา เราจักกลับไปเมือง ล้านช้างดังเดิม"

ตั้งนครเวียงจันทน์เป็นราชธานี

ปี พ.ศ.2103 ปีวอก สมเด็จพระเจัาไชยเชษฐาธิราช ทรงพิจารณาเห็นว่า "นครเชียงทองเป็นที่คับแคบ ไม่กว้างขวาง และอย่างหนึ่ง ก็เป็นที่เดิน ทัพของพม่า ซึ่งกำลังเป็น ศัตรูอยู่กับนครเชียงทอง ทั้งพิจารณาเห็นว่า "เมืองเวียงจันทน์เป็นเมืองใหญ่มีที่ทำมาหากินกว้างขวาง อุดมไปด้วยข้าว ปลาอาหาร สมควรแต่งตั้งให้เป็นมหานครได้"

เมื่อพระองค์จินตนาการดังนั้นแล้ว จึงปรึกษาหารือกับเสนามนตรีทั้งหลายในเมื่อทุกคนเห็นดีงามด้วยทุกประการ จึงมอบนคร เชียงทอง ให้พระสงฆ์เป็นผู้ดูแลรักษา พร้อมด้วย พระบางเจ้า ส่วนพระองค์ได้อัญเชิญเอาพระแก้วมรกต และพระแซกคำพร้อม ด้วยสมบัติทั้งมวล อพยพจตุรงคเสนาโยธาทหารลงมาอยู่นครเวียงจันทน์ จึงขนานนามนครเวียงจันทน์ใหม่ว่า "พระนครจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตอุดมราชธานี"

ส่วนนครเชียงทองนั้นก็ได้เรียกว่า "นครหลวงพระบาง" แต่กาลบัดนั้น เหตุว่า พระบางเจ้ายังประดิษฐานอยู่ ณ ที่นั่น หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ สร้างมหาปราสาท ราชวังหลวงขึ้นใหม่ สร้างหอพระแก้วมรกตและพระแซกคำอย่างวิจิตรพิศดารยิ่งนัก

สร้างพระธาตุหลวงและวัดวาอาราม

ปี พ.ศ.2109 สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวงขึ้นอยู่ในสวนอุทยานทานด้านตะวันออกแห่ง พระมหานคร โดยก่อครอบ พระเจดีย์ลูกหนึ่งที่มีอยู่ ในที่นั้นก่อนแล้ว ได้ฤกษ์ในการลงมือทำในวันเพ็ญเดือนอ้าย(เดือนที่ 1) ใช้เวลาก่อสร้างนานพอ สมควร เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงขนานนามว่า "พระธาตุเจดีย์โลกจุลมณี"คนส่วนมากเรียกว่า "พระธาตุใหญ่" หรือ "พระธาตุหลวง"

เพื่อปฎิบัติรักษาพระธาตุโลกจุลมณีให้มีรูปทรงสวยงามอยู่ตลอดเวลา พระองค์มีพระราชโองการให้ 35 ครอบครัวอยู่ เฝ้ารักษา พระธาตุ ซึ่งพระองค์ได้อุทิศที่ดินไร่นาให้ทุกครอบครัวเพื่อเป็นที่ทำมาหากิน เมื่อสร้างพระธาตุหลวงเสร็จแล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างวัดวาอารามอีกหลาย แห่งคือ

1.วัดป่าฤาษีสังหรณ์(ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด)

2.สร้างอุโมงค์รอบธาตุพระอรหันต์ที่ป่ามหาพุทธวงศ์ (วัดธาตุฝุ่น ในปัจจุบัน)

3.วัดป่ากันทอง ที่หนองยางคำ

4.พระเจดีย์โล้นธาตุหัวเหน่าอยู่ภูเขาหลวง (พระธาตุบังพวน หนองคาย)

5.วัดโพนทองกก

6.ก่อพระเจดีย์ครอบพระธาตุศรีโคตบูรณ์ที่เมืองท่าแขก

7.ปฎิสังขรณ์ซ่อมแซมพระธาตุพนมใหม่

พระองค์ได้ทรงสร้างวัดวาอารามทั้งอยู่ในนครเวียงจันทน์ ทั้งอยู่ในภาคกลางของลาว และแผ่นดินฝั่งด้านขวาแม่น้ำโขง ซึ่งเสด็จไปทุกที่ไม่เคยหยุดหย่อน อันทำให้ประชาราษฏร์เกิดความเลื่อมใสยิ่งนัก

สมเด็จพระเจัาไชยเชษฐาธิราชเป็นกษัตริย์นักพัฒนา สร้างสรรให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ในนครเวียงจันทน์เต็มไปด้วย วัดวาอารามและพระธาตุเจดีย์ที่ประดับประดาอย่างวิจิตรพิดาร

นอกจากทรงสร้างเมืองแล้ว และวัดวาอารามแล้ว พระองค์ยังได้หล่อพระพุทธรูปองค์สำคัญ ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น พระองค์ตื้อ พระสุก พระใส พระเสริม เป็นต้น

+++++++++++++++

เขียนโดย ดวงไชย หลวงพะสี

พระธาตุพนม

พระธาตุพนม ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบล และอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ อยู่บนภูกำพร้า หรือดอยกำพร้า ภาษาบาลีว่า กปณบรรพตหรือ กปณคีรี ริมฝั่งแม่น้ำขลนที อันเป็นเขตแขวงนครศรีโคตบูรโบราณ
ตามตำนานพระธาตุพนม ในอุรังคนิทานกล่าวว่า สมัยหนึ่งในปัจฉิมโพธิกาล พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระอานนท์ ได้เสด็จมาทางทิศตะวันออก โดยทางอากาศ ได้มาลงที่ดอนกอนเนา แล้วเสด็จไปหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) ได้พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตจะเกิดบ้านเมืองใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จากนั้นได้เสด็จไปตามลำดับ ได้ทรงประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่ โพนฉัน (พระบาทโพนฉัน) อยู่ตรงข้ามอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย แล้วเสด็จมาที่ พระบาทเวินปลา ซึ่งอยู่เหนือเมืองนครพนมปัจจุบัน ได้ทรงพยากรณ์ที่ตั้งเมืองมรุกขนคร (นครพนม) และได้ประทับพักแรมที่ภูกำพร้าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเสด็จข้ามแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตบูร พักอยู่ที่ร่มต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงฮังเมืองสุวรรณเขต) แล้วกลับมาทำภัตกิจ (ฉันอาหาร) ที่ภูกำพร้าโดยทางอากาศ
พญาอินทร์ได้เสด็จมาเฝ้าและทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเหตุที่มาประทับที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์เมื่อนิพพานแล้ว พระมหากัสสปะ ผู้เป็นสาวก ก็จะนำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้เช่นกัน จากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ทรงปรารภถึงเมืองศรีโคตบูร และมรุกขนคร แล้วเสด็จไปหนองหารหลวง ได้ทรงเทศนาโปรดพญาสุวรรณพิงคาระ และพระเทวี ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นั้น แล้วเสด็จกลับพระเชตวัน หลังจากนั้นก็เสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระสรีระ แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อพระมหากัสสปะมาถึงได้อธิษฐานว่า พระธาตุองค์ใดที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า ขอพระธาตุองค์นั้นเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ ดังนี้แล้ว พระอุรังคธาตุ ก็เสด็จมาอยู่บนฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะ ขณะนั้นไฟธาตุก็ลุกขึ้นโชติช่วง เผาพระสรีระได้เองเป็นอัศจรรย์ เมื่อถวายพระเพลิงและแจกพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ มาทางอากาศ แล้วมาลงที่ดอยแท่น (ภูเพ็กในปัจจุบัน) จากนั้นได้ไปบิณฑบาตที่เมืองหนองหารหลวง เพื่อบอกกล่าวแก่พญาสุวรรณพิงคาระ ตำนานตอนนี้ตรงกับตำนานพระธาตุเชิงชุม และพระธาตุนารายณ์เจงเวง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่แล้ว
เมื่อพญาทั้ง 5 ซึ่งอยู่ ณ เมืองต่าง ๆ อันได้แก่ พญานันทเสน แห่งเมืองศรีโคตบูร พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร พญาคำแดง แห่งเมืองหนองหารน้อย และพญาสุวรรณพิงคาระ แห่งเมืองหนองหารหลวง ได้พากันปั้นดินดิบก่อแล้วเผาไฟ ตามคำแนะนำของพระมหากัสสปะ แบบพิมพ์ดินกว้างยาวเท่ากับฝ่ามือพระมหากัสสปะ
ครั้นปั้นดินเสร็จแล้วก็พากันขุดหลุมกว้าง 2 วา ลึก 2 ศอก เท่ากันทั้ง 4 ด้าน เมื่อก่อดินขึ้นเป็นรูปเตา 4 เหลี่ยม สูง 1 วา โดยพญาทั้ง 4 แล้ว พญาสุวรรณภิงคาระก็ได้ก่อส่วนบน โดยรวมยอดเข้าเป็นรูปฝาปารมีสูง 1 วา รวมความสูงทั้งสิ้น 2 วา แล้วทำประตูเตาไฟทั้ง 4 ด้าน เอาไม้จวง จันทน์ กฤษณา กระลำพัก คันธรส ชมพู นิโครธ และไม้รัง มาเป็นพื้น ทำการเผาอยู่ 3 วัน 3 คืน เมื่อสุกแล้วจึงเอาหินหมากคอยกลางโคก มาถมหลุม เมื่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าวเสร็จแล้ว พญาทั้ง 5 ก็ได้บริจาคของมีค่าบรรจุไว้ในอุโมงค์เป็นพุทธบูชา
จากนั้น พระมหากัสสปะ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ เข้าบรรจุภายในที่อันสมควร แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์ไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยสร้างประตูด้วยไม้ประดู่ ใส่ดาลปิดไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วให้คนไปนำเอาเสาศิลาจากเมืองกุสินารา 1 ต้น มาฝังไว้ที่มุมเหนือตะวันออก แปลงรูปอัศมุขี (ยักษิณีหน้าเป็นม้า) ไว้โคนต้นเพื่อเป็นหลักชัยมงคลแก่บ้านเมืองในชมพูทวีป นำเอาเสาศิลาจากเมืองพาราณสี 1 ต้น ฝังไว้มุมใต้ตะวันออก แปลงรูปอัศมุขีไว้โคนต้น เพื่อหมายมงคลแก่โลก นำเอาเสาศิลาจากเมืองตักศิลา 1 ต้น ฝังไว้มุมเหนือตะวันตก พญาสุวรรณพิงคาระให้สร้างรูปม้าอาชาไนยไว้ตัวหนึ่ง หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อแสดงว่าพระบรมธาตุเสด็จออกมาทางทิศทางนั้น และพระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองจากเหนือเจือมาใต้ พระมหากัสสปะให้สร้างม้าพลาหกไว้ตัวหนึ่ง คู่กัน หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อเป็นปริศนาว่า พญาศรีโคตบูรจักได้สถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ตราบเท่า 5,000 พระวัสสา เกิดทางใต้และขึ้นไปทางเหนือ เสาอินทขีล ศิลาทั้ง 4 ต้น ยังปรากฏอยู่ 2 ต้น ทางทิศตะวันออก ส่วนอีก 2 ต้น ได้ก่อหอระฆังหุ้มไว้ ส่วนม้าศิลาทั้ง 2 ตัว ก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน
พระธาตุพนม ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาตามลำดับ การบูรณะครั้งแรกและครั้งที่สอง ไม่ได้บันทึกปีที่บูรณะไว้ การบูรณะครั้งที่สามเมื่อปี พ.ศ. 2157 ครั้งที่สี่เมื่อปี พ.ศ. 2233 ครั้งที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2349 ครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2444 เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ และต่อจากนั้นมาก็มีการบูรณะทั่วไป เช่น บริเวณโดยรอบพระธาตุ
ได้มีพิธียกฉัตรทองคำขึ้นประดิษฐานไว้ที่ยอดองค์พระธาตุ และนำฉัตรเก่ามาเก็บไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2497 มีพุทธศาสนิกชนจากดินแดนสองริมฝั่งโขงทั้ง ไทยและลาว หลั่งไหลมาร่วมมงคลสันนิบาต และนมัสการองค์พระธาตุเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน

เมื่อปี พ.ศ. 2518  องค์พระธาตุพนมชำรุดล้มลง ทางราชการได้ดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่ ให้คงสภาพเดิม ภายในปีเดียวกัน และได้ยืนยงคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
งานนมัสการพระธาตุพนมประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3
คำนมัสการพระธาตุพนมมีดังนี้
"กปณคิริสฺมิ ปพฺพเต มหากสฺสเปน ฐาปิตํ พุทฺธอุรงฺคธาตุ สิรสา นมามิ"
แปลว่า "ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระบรมอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า นำมาฐาปนาไว้ ณ ภูกำพร้า ด้วยเศียรเกล้า

pratad  001pratad  002pratad  003pratad  004pratad  005pratad  006pratad  007pratad  008pratad  009pratad  010pratad  011pratad  012pratad  013pratad  014